ใครเคยมีการแบบนี้บ้าง? อยู่ดีๆ สมองก็ดับไป นึกอะไรไม่ออก ในหัวมีแต่สีขาวโพลนเป็นหมอกที่ก่อตัวหนา
- ไม่มีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งที่ทำหรือคิดอยู่ไม่ได้
- นึกข้อมูลในสมองไม่ออก
- ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่
- ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง
- ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
- ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงต่อไป
- มีแต่คำว่า “ไม่รู้” และตัวแข็งอยู่กับที่ (freezing)
- แล้วยังไงต่อนะ…คิดไม่ออก
อาการเหล่านี้มีชื่อเล่นว่า "Brain Fog" เจอได้บ่อยเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาใกล้สอบ ที่บางคนสติแตกง่ายมาก ถ้าใครเคยเป็นหรือกำลังเป็นอยู่ พี่หมอแมวน้ำจะเล่าให้ฟังค่ะว่าสาเหตุเกิดจากอะไร หากมีอาการขึ้นมาเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการสมองดับ Brain Fog
มีอารมณ์ท่วมท้นอย่างมาก (overwhelm)
เมื่อเจอสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์ด้านบวกหรือลบอย่างมาก เช่น โกรธ เศร้า เสียใจ กังวล ตื่นเต้น ดีใจ สมองส่วนอารมณ์จะทำงานมากกว่าส่วนเหตุผล ทำให้คิดอะไรไม่ออก
มีความกังวลหลายเรื่องพร้อมกัน (floating anxiety)
คิดกังวลหลายเรื่องมากจนจับประเด็นไม่ได้ ว่าตัวเองคิดอะไรกันแน่ เช่น มีดราม่ากับเพื่อนสนิทช่วงก่อนสอบ แถมแม่ทักว่าทำไมไม่อ่านหนังสือ งั้นเราควรจะแก้ไขเรื่องอะไรก่อนดี
เครียดเรื้อรัง (Chronic stress)
เวลาร่างกายเผชิญกับความเครียดจะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายทำงานต่างจากภาวะปกติ หากคอร์ติซอลหลั่งนานเกินไป เซลล์ในบริเวณต่าง ๆ ของสมองจะมีการฝ่อเหี่ยวหรือตายได้ รวมถึงสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับสมาธิและความจำ
มีอาการทางจิตเวชอย่างมากจนส่งผลต่อความคิด (cognitive dysfunction)
โรคทางจิตเวชหลายอย่างส่งผลต่อการทำงานของสมอง เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ทำให้สมาธิแย่ ความจำไม่ดี การประมวลผลข้อมูลในสมองช้า ถ้ามีความรุนแรงของอาการมากจะคิดอะไรไม่ออกเลย
มีความรู้สึกด้านชา (numbness)
เหมือนจะไม่รู้สึกอะไร แต่มันเจ็บปวดภายในแบบอึนๆ เหมือนมีบางอย่างเก็บกดเอาไว้ แต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร เช่น ทำโจทย์เคมีซ้ำไปมาแต่ไม่ถูกเสียที ทั้งที่เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ จนอยากเทวิชานี้ไปซะ
เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก (exhausted)
- ทางด้านร่างกาย (physical) เช่น นอนน้อย ไม่ได้กินอาหาร ขาดสารน้ำ สารอาหาร
- ด้านจิตใจ (mental) เช่น มีปัญหาหลายเรื่องเข้ามาพร้อมกันต้องใช้สมองอย่างมาก อ่านหนังสืออย่างเคร่งเครียดติดต่อกันยาวนาน
การเจ็บป่วยทางกาย
มีหลายโรคทางกายหลายอย่างที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง เช่น โรคต่อมไธรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroid syndrome) รวมถึง Long COVID คือ หลังจากที่ติดเชื้อโควิดแล้ว มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่การทำงานของสมองเสียหายไปด้วย มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าผู้ป่วย Long COVID ร้อยละ 7 มีอาการ brainfog ร่วมด้วย
วิธีการจัดการตอนที่สมองดับ (Brain fog)
1. ตั้งสติ (awareness) ถอยออกมาตั้งหลัก (calm down) ก่อน
- หามุมสงบ อาจอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนที่ทำให้เราสบายใจ
- พยายามนึกดูดีๆ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ไหน กับใคร สิ่งใดที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกหรือช่วยจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน อาจเขียนคำที่นึกออกลงในกระดาษ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น
- การหายใจเข้าลึกๆ ออกยาวๆ (breathing exercise) จะช่วยดึงสติกลับมาได้ง่าย
- การตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน (mindfulness) รับรู้ความคิดอารมณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ไปยึดติดเก็บมาคิดวนไปมา
2. หาตัวช่วยในการทำความเข้าใจ
- สมองเหมือนจะไม่คิดอะไรแต่จริงๆ แล้ว มีความคิดหน่วงๆติดค้างอยู่
- พยายามเขียนบรรยายความคิดในตอนนั้น อาจเขียนเป็นคำ วลี หรือวาดเป็นภาพออกมา เอาข้อมูลที่กระจัดกระจายมาประมวลผล ทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
- เล่าความคิดในหัวให้คนที่ไว้ใจและพร้อมที่จะรับฟังเรา คนที่เป็นผู้ฟังที่ดี (active listener) จะช่วยถามคำถาม สรุปเรื่อง สะท้อนความรู้สึก ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
- ถ้ารอบตัวไม่มีคนช่วย อาจต้องพึ่งพาคนในโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok Facebook แต่การทำแบบนี้ต้องระมัดระวังเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล (privacy) หรือได้รับคำแนะนำที่ต้องมาชั่งน้ำหนัก (validate) อีกทีว่าเชื่อถือได้หรือไม่
3.ระบายอารมณ์ที่คั่งค้างออกมา
- แต่ละคนเลือกใช้วิธีไม่เหมือนกัน เช่น ร้องไห้ เขียนด่าระบาย ฉีกกระดาษ ทุบหมอน
- ควรระบายออกด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่ทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อน เช่น หมั่นไส้เพื่อนที่ทำข้อสอบทั้งย้อนหลังและข้อสอบจำลองไป 10 ชุด คะแนนก็ดี แต่ยังมาบ่นว่าอ่านไม่ทัน ต่อให้หมั่นไส้มากแค่ไหน แต่ไม่ควรโพสต์แซะในโซเชียลมีเดีย (เดี๋ยวทัวร์จะมาลง) ให้ใช้วิธีโทรไปด่าระบายกับเพื่อนสนิทจะดีกว่า
4.ให้สมองพัก
- หากิจกรรมที่ทำแล้วผ่อนคลายลดความเครียดได้ เช่น อ่านมังงะ นั่งดูอนิเมะ ฟังเพลง ทำงานศิลปะ หรือออกไปเดินห้าง
- ติดต่อพูดคุยกับคนอื่น พาตัวเองไปเข้าสังคมที่คิดว่าสบายใจที่จะอยู่ด้วย อย่าทิ้งตัวอยู่คนเดียวจนนานไป
5.เคลื่อนไหวร่างกาย
- มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าการขยับร่างกาย (physical activity) อย่างการออกกำลังกายที่จริงจัง หรือแม้แต่เคลื่อนไหวเล็กน้อย เช่น แกว่งแขน เดินวนไปมาในสวน มีผลช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น
6.ดื่มกินสิ่งที่ทำให้สดชื่น
- การกินของหวานเป็นหนึ่งในตัวช่วยของการคลายเครียดในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น ลูกอม ช็อคโกแลต น้ำหวาน ไอศกรีม หากกินในปริมาณเล็กน้อยที่ช่วยให้ชื่นใจ คิดอะไรออกมากกว่าเดิมเป็นสิ่งที่โอเค แต่ต้องระวังการติดของหวานที่ทำให้สุขภาพร่างกายแย่ เช่น เบาหวาน น้ำหนักตัวมากจนเป็นโรคอ้วน
- เลี่ยงการใช้สารเสพติด เช่น บุหรี่ไฟฟ้า แอลกอฮอล์ กัญชา เพราะมันจะช่วยให้สุขระยะสั้น แต่มีผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว
7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- เรื่องเบสิคที่พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะในปัจจุบันเรามีอุปกรณ์หน้าจอที่ดึงดูดให้เราไปใช้มัน ก่อนนอนเรานั่งดูซีรี่ย์ที่ทำให้ติด,แชทค้างอยู่กับคนคุย หรือทำสิ่งที่กระตุ้นให้ตื่นตัว แสงจากหน้าจอจะหลอกสมองว่ายังไม่ใช่เวลานอน ดังนั้นอย่างน้อยควรหยุดการเล่นหน้าจออย่างน้อย 30-60 นาทีก่อนนอน ปรับสภาพแวดล้อมในห้องให้เหมาะ ช่วงที่เรานอนอยู่ สมองยังมีการทำงาน โดยจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็น และกำจัดของเสียออกไป การหลับที่ไม่ดี ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น อึน ๆ หัว มีผลต่อการทำงานของสมองในช่วงระหว่างวันอย่างมาก
8. หากิจกรรมทำ
- การนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆ หมกตัวอยู่คนเดียว ไม่ทำอะไร อาจทำให้อาการยิ่งแย่ ดังนั้นถ้าคิดไม่ออกจริงๆว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ให้พยายามหากิจกรรมทำ หาคนช่วย
- เรื่องนี้สำคัญสำหรับคนที่สมองคิดไม่ออกจากการที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า การทำกิจกรรม (behavioral activation) จะช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้ เช่น การออกกำลังกาย การดูหนังฟังเพลง เพราะการทำกิจกรรมจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดฟินและสารเคมีที่ช่วยให้มีความสุขออกมา นอกจากนี้การได้ทำกิจกรรมจะทำให้รู้สึกตัวเองยังมีความสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆได้ (accomplishment) ช่วยให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น (raise self esteem )
- ถ้าคิดไม่ออกจริงๆว่าจะทำอะไรให้คนรอบข้างช่วยคิดตารางกิจกรรมและชวนกันไปทำตามตารางที่วางไว้
- “ทำกิจกรรมตามตาราง ไม่ทำตามอารมณ์” แม้บางทีร่างกายล้า สมองเบลอ แต่ให้ฝืนตัวเองออกไปทำกิจกรรมให้ได้
- ทำ check lists สิ่งที่จะต้องทำในวันนั้น บางอย่างที่เป็นกิจวัตร (routine) สามารถทำเป็น to do lists ได้ แม้เป็นสิ่งที่ปกติจะทำอยู่แล้ว เช่น อาบน้ำ กินข้าว ทำงานบ้าน เมื่อเราทำตาม check lists จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเองว่า “จริงๆเราก็ทำได้นี่นา!!!”
ถ้าทำทุกวิธีแล้วสมองยังดับ อึน แนะนำให้ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยาเพื่อหาสาเหตุและรับการช่วยเหลือต่อไป
ช่วงนี้ก็ใกล้สอบ A-level น้อง ๆ น่าจะกำลังเตรียมตัวอ่านหนังสือกันอย่างเข้มข้น ท่วมท้นไปด้วยความเครียด บางคนเห็นเพื่อนโพสต์ IG stories ว่าอ่านหนังสือถึงไหน ทำเอาสติแตกว่าฉันอ่านไม่ทัน ฉันต้องสอบไม่ติดแน่ๆ ความกังวลนี้ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดอาการ Brain Fog ได้
Referencehttps://www.healthline.com/health/your-5-minute-read-on-fighting-brain-foghttps://www.nytimes.com/2022/09/13/well/mind/brain-fog-treatment.htmlhttps://www.verywellhealth.com/brain-fog-8363295พี่หมอแมวน้ำขอเป็นกำลังใจให้กับน้อง TCAS67 หรือคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบ บางช่วงเราอาจมีสมองดับได้ แต่หากแก้ไขถูกวิธี สมองจะกลับมาทำงานเป็นปกติได้ค่ะ
0 ความคิดเห็น