สวัสดีค่าชาว Dek-D นับวัน “ไต้หวัน” จะเป็นเป้าหมายที่มาแรงมากขึ้นทุกทีๆ หลายคนอาจเคยเห็นรีวิวคนที่ไปเรียนต่อหรือเที่ยวกลับมาแล้วบอกต่อกันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความลงตัวของสภาพแวดล้อมทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก สวัสดิการ-คุณภาพชีวิต เทคโนโลยี รวมถึงโอกาสดีๆ ทั้งเรื่องภาษาที่สาม หลักสูตรอินเตอร์ และทุนการศึกษาทั้งจากรัฐบาลและมหาวิทยาลัยโดยตรง
และทุน ICDF ก็คือหนึ่งใน 100% ของทางรัฐบาลไต้หวันที่มอบให้แบบเต็มจำนวน วันก่อนทาง Taiwan Education Center ทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักกับรุ่นพี่นักเรียนทุน TaiwanICDF Scholarship 2020 ที่เพิ่งเรียนจบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากไต้หวันมาสดๆ ร้อนๆ จากมหาวิทยาลัยเจิ้งจื้อ (เจิ้งต้า) หรือ National Chengchi University // น่าสนใจมากกแถมยังเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษด้วยนะคะ ใครกำลังวางแผนเรียนต่อหรือขอทุนนี้ เลื่อนมาเก็บข้อมูลกันค่ะ
อ่านจบมีข้อสงสัยอยากปรึกษารุ่นพี่ตัวจริง 1:1 หรือขอคำแนะนำเรื่อง SoP ข่าวดีคือ "พี่อันอัน" ให้เกียรติตอบรับคำเชิญมาประจำบูธงาน Dek-D’s Study Abroad Fair รอบเมษายน 2024 ด้วยนะคะ (พี่อันอันจะมาวันที่ 27 เม.ย. 2024) เช็กตารางรุ่นพี่และไฮไลต์ทั้งหมดที่นี่ได้เลย! https://www.dek-d.com/studyabroadfair/
. . . . .
Part I : กว่าจะได้ทุนไปเรียนไต้หวัน
(การเตรียมตัว, กระบวนการ, คำแนะนำ ฯลฯ)
รู้จักกันก่อน
สวัสดีค่ะ~ ชื่อ “พี่ส้ม – อันอัน ตั้งประเสริฐพงศ์” นะคะ เรียนจบ ป.ตรี คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations (IR)) จากจุฬาฯ จบช่วงปี 2020 ที่ตรงกับช่วงโควิดพอดี แล้วตัดสินใจไปเรียนต่อ ป.โท International Master’s Program in International Studies (IMPIS) ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิ้งจื้อ (國立政治大學) หรือ National Chengchi University สาขานี้จะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศค่ะ ^^
เหตุผลที่ "ไต้หวัน" ลงตัวที่สุด
เราพอมีพื้นฐานภาษาจีนอยู่บ้างเพราะจบ ม.ปลายสายศิลป์-ภาษาจีน แล้วตอนเรียนที่จุฬาฯ ก็มีไปลงวิชาเกี่ยวกับภาษาจีนอีกนิดหน่อยค่ะ ไหนๆ แล้วเลยอยากเลือกเรียนต่อในประเทศที่มีสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาจีนเป็นหลักเพื่อต่อยอดในอนาคต
แต่เนื่องจากภาษาจีนเรายังไม่คล่องขนาดนั้น เลยคิดว่าไต้หวันตอบโจทย์ตรงที่มีหลักสูตรอินเตอร์เยอะมากกก แล้วถ้าจะสมัครหลักสูตรภาษาอังกฤษ ก็สามารถยื่นคะแนน TOEIC นอกเหนือจากคะแนน TOFFL หรือ IELTS ได้ด้วย
นอกจากนี้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น
- ไต้หวันมีทุนเยอะทั้งจากรัฐบาลและมหาวิทยาลัยโดยตรง มีทั้งแบบเต็มจำนวนและทุนค่าเรียนบางส่วน
- รัฐบาลส่งเสริมและเปิดกว้างเรื่องการวิจัย
- สังคมมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมสูง (Multicultural Society) ผสมผสานทั้งกรอบความคิดแบบตะวันตก-ตะวันออก รวมถึงชาวพื้นเมืองดั้งเดิมอาศัยอยู่ในเกาะไต้หวันด้วย
- ในขณะเดียวกัน ไต้หวันเป็นดินแดนประชาธิปไตยแบบเต็มใบ ผู้คนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Freedom of Speech) ซึ่งเรามองว่าการที่เราสามารถพูดคุยประเด็นการเมืองได้อิสระ น่าจะตอบโจทย์กับการมาเรียนด้านการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ตัดสินใจสมัครทั้ง 2 ทุน
เราสมัครทั้งทุน MOE กับ ICDF ทั้งคู่จะเปิดรับสมัครช่วงต้นเดือนมกราคม - กลางเดือนมีนาคมเหมือนกัน และยังเป็นช่วงเดียวกับที่มหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครด้วย แถมยังประกาศผลเกือบพร้อมๆ กัน (บางแห่งอาจมีเปิดรับสมัครรอบก่อนหน้านั้น แต่ของเราไม่มี) ดังนั้น:
- ตอนสมัครทุนเราต้องแนบหลักฐานว่าเราสมัครมหาวิทยาลัย
- ตอนสมัครมหาวิทยาลัยก็ต้องแนบหลักฐานว่าเราสมัครทุน
- รวมๆ เราเตรียมเอกสารทั้งหมด 4 ชุด เพราะ MOE และ ICDF เพื่อยื่นสมัครทั้งทางมหาวิทยาลัยและทางทุน (ทาง ICDF เลือกได้ 1 สาขา/มหาวิทยาลัย ส่วน MOE เลือกได้ 2 สาขา/มหาวิทยาลัยค่ะ เอกสารของทั้งสองทุนจะมีบางส่วนต่างกันและต้องส่งไปคนละที่นะคะ
*บางคนสงสัยว่าจะสมัครทุนเต็มจำนวน เราต้องแนบ Financial Statement อีกมั้ย? เราแนะนำให้แนบไปด้วยเพื่อความ วางใจ เพราะมหาลัยไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะได้ทุนหรือเปล่า
1. ทุน MOE (*ติดสำรองอันดับ 1 )
- เป็นทุนรัฐบาลไต้หวัน ระดับ ป.ตรี/โท/เอก เลือกยื่นได้ สูงสุด 2 คณะ/มหาวิทยาลัยทั้งไต้หวันสำหรับประเทศไทย โควตารวมกันทุกระดับ 18 คนต่อปี
- สนับสนุนค่าใช้จ่ายรายเดือน + ค่าเรียนเทอมละ 40,000 NTD *กรณีที่มีส่วนต่าง (หมายถึงค่าเทอมเกิน 40,000 NTD) จะขึ้นอยู่กับว่ามหาวิทยาลัยจะออกให้ หรือเราต้องออกส่วนต่างเอง
อ่านระเบียบการรับสมัครทุน MOE ปี 2022 เป็นแนวทางการเตรียมตัวเบื้องต้นได้ที่ https://www.dek-d.com/studyabroad/57032/
2. ทุน ICDF (*ไปเรียนด้วยทุนนี้)
- สนับสนุนโดย “กองทุนเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของไต้หวัน” (International Cooperation and Development Fund: ICDF) มอบให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่เป็น partners กัน ซึ่งจะรวมถึงประเทศไทย
- สำหรับทุน ICDF คนไทยจะสมัครเรียนได้แค่ ป.โท หรือ ป.เอก และมีโควตาสำหรับคนไทย 3-7 คนต่อปี
- ทางโครงการฯ จะมีลิสต์คณะกับมหาวิทยาลัยมาให้เลือก (เช่น คณะ…ที่มหาวิทยาลัย…เท่านั้น) เป็นคณะอินเตอร์ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นสาขาฝั่งวิทย์ (เช่น วิศวฯ, การแพทย์) แต่ก็มีสายสังคมหรือมนุษยศาสตร์ด้วย
- ข้อดีของทุน ICDF คือ ทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายหลายอย่างมาก เช่น ค่าเล่าเรียน, ค่าหอพัก, เงินรายเดือน (ป.โท 15,000 NTD/เดือน), ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ, ค่าจิปาถะอื่นๆ เช่น ค่าทำบัตร Alien Resident Certificate (ARC), ค่าประกัน, ค่าหนังสือ (ในส่วนของค่าหนังสือจะขึ้นอยู่กับการจัดสรรของทางคณะ อย่างของเราจะมีงบประมาณสำหรับซื้อหนังสืออยู่ ปีแรกเราได้งบ 10,000 NTD ส่วนปีที่สองเราได้ 15,000 NTD)
อ่านระเบียบการรับสมัครทุน ICDF ของปี 2022 เป็นแนวทางการเตรียมตัวได้ที่ https://www.dek-d.com/studyabroad/59369/
แชร์คะแนน GPAX & คะแนนภาษาที่พี่อันอันใช้ยื่นสมัคร
- เกรดเฉลี่ยรวมตอน ป.ตรี : 3.92
- TOEIC 900 (คณะนี้กำหนด TOEIC 850 ขึ้นไป)
*อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขของหลักสูตรที่เราสนใจ ถ้ากรณีไม่ได้กำหนดให้ส่งคะแนนภาษา แนะนำว่าอย่างน้อย TOEIC 750++
SoP & Study Plan
- Statement of Purpose (SoP) คือเรียงความที่อธิบายตัวตน เหตุผลที่อยากเรียนต่อสาขานี้ และเป้าหมายหลังเรียนจบ เทคนิคขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะวางแผนเนื้อหาแบบไหน เช่น เราสมัคร IMPIS ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (IR) เลยยกตัวอย่างว่าเคยเจอกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้ ผลกระทบที่เราได้รับ และเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเรียนต่อ IR เป็นต้น
- Study Plan คือแผนการเรียน, การทำกิจกรรมหลังจากจากมหาวิทยาลัยตอบรับ และเป้าหมายหลังเรียนจบ (อาจตั้งเป็นเป้าหมายระยะสั้นและยาว) แนะนำให้ศึกษาหลักสูตร/มหาวิทยาลัยว่าเปิดสอนอะไรบ้าง ทำไมถึงสนใจวิชานี้ หรือถ้ามีหัวข้อธีสิสที่ตั้งใจทำไว้อยู่แล้ว ควรอธิบายว่า วิชานี้จะช่วยส่งเสริมการทำธีสิสของเราอย่างไร
เรากำลังสมัครหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอะไร ก็ให้เขียนเรียงความภาษานั้น และไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์ยากมาก แต่เน้นเขียนสื่อตัวตนของเราได้ชัดเจน กรรมการอ่านแล้วเข้าใจ แนะนำว่าให้ลองร่างหลายๆ รอบ (เราใช้เวลาเขียน 1-2 เดือน) ตรวจทานจำนวนคำไม่ให้เกินที่โจทย์กำหนด รวมถึงตรวจไวยากรณ์ การสะกด ความลื่นไหลของประโยค เพราะสิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความใส่ใจและความตั้งใจของเรา
คะแนนภาษา
สิ่งที่ยากในข้อสอบ TOEIC สำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยรวมคือ Listening ให้ระวังอย่าสติหลุด ส่วน Reading ให้ระวังเรื่องเวลาดีๆ เราใช้วิธีโหลดข้อสอบเก่ามาฝึกทำเยอะๆ เพื่อสร้างความคุ้นชินกับเวลาและรูปแบบของข้อสอบ
จริงๆ เราไปสอบวัดระดับภาษาจีนมาด้วย แต่อยากให้ระวังสำหรับน้องๆ ที่อยากเรียนหลักสูตรภาษาจีนแล้วต้องยื่นคะแนนภาษาจีนว่าเค้าจะไม่รับ HSK แต่รับ TOCFL (Test of Chinese as a Foreign Language Exam สอบที่สมาคมจงหัวแห่งประเทศไทย) เราได้ band b level 3 ซึ่งผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของการสมัครเรียนพอดี
ถ้าเทียบ HSK กับ TOCFL เรารู้สึกความเร็วในการพูดไม่ต่างกัน แต่ที่ต่างกันชัดเจนคือ “สำเนียงการพูด” เพราะสไตล์จีนแผ่นดินใหญ่จะมีม้วนลิ้น แต่ TOCFL ของไต้หวันไม่มีม้วนลิ้น สำเนียงจึงออกแข็งกว่า แต่วิธีพูดจะซอฟต์กว่า ทั้งนี้ ถ้าใครจะสมัคร TOCFL ที่ไทย จะมีให้สอบฟังกับอ่าน โดยที่เราสามารถข้อเลือกสอบแบบ “อักษรจีนตัวย่อ” หรือ “อักษรจีนตัวเต็ม” เพราะนักเรียนที่ไทยส่วนใหญ่จะเรียนหลักสูตรตัวย่อของจีนแผ่นดินใหญ่
(*รีวิวประสบการณ์ส่วนตัว พอมาไต้หวันจริงๆ เราสังเกตว่าการออกเสียงเค้าไม่ชัดเท่ากับเทปที่เราได้ยินตอนสอบแน่นอน เค้ามักจะพูด เร็วหรือกลืนเสียงไปด้วยกัน แล้วยังมีภาษาถิ่นปะปนด้วย)
ด่านสัมภาษณ์
รุ่นเราตรงกับช่วงโควิดพอดี ก็เลยเจอสัมภาษณ์แบบออนไลน์ผ่าน Skype เค้าจะมีให้ทดลองสัญญาณก่อน 1 ครั้งก่อนสัมภาษณ์จริง (ทุน MOE ก็ระบบประมาณนี้เหมือนกันค่ะ)
- เราเตรียมตัวโดยการเสิร์ชหาคำถามที่เจอบ่อยตอนสัมภาษณ์ ICDF พอเจอจริงไม่ค่อยตรงที่เก็งไว้ แต่คำถามที่ทุกคนต้องเจอแน่นอนคือ ทำไมเราอยากเรียนที่นี่? คณะนี้? และที่ไต้หวัน?
- เราเรียนจบจาก IR จุฬาฯ แล้วสมัครเรียนต่อคณะสายตรง เลยได้เจอคำถามเชิง Academic เช่น การอธิบายศัพท์เฉพาะทาง IR หรือให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์สำคัญๆ ของโลกในเวลานั้น
ปรากฏว่า MOE ประกาศผลเร็วมาก แล้วแจ้งผลว่าเราติดเป็นตัวสำรองอันดับ 1 ตอนนั้นกังวลเพราะไม่มั่นใจตอนสัมภาษณ์ ICDF คิดว่าคงหลุด แต่ปรากฏว่าช่วงปลายเดือนมิถุนายน ทาง ICDF แจ้งผลว่าเราได้ทุนค่ะ ^^
. . . . .
Part II : รีวิวเรียนรัฐศาสตร์ที่ NCCU
(จุดเด่น, หลักสูตร, การปรับตัว)
การปรับตัว
ช่วงแรกเราต้องกักตัวก่อน 14 วัน โดยที่ทุน ICDF ช่วยค่าใช้จ่ายตอนกักตัวให้ทั้งหมดค่ะ เราใช้เวลาช่วงนั้นดู VDO มหาลัยกับสิ่งที่จะได้เรียนตอนเปิดเทอม จากนั้นก็ย้ายมาอยู่หอมหาลัย
NCCU มีทั้งหอเก่า (11,000 NTD/เทอม) และหอใหม่ (22,000-32,000 NTD/เทอม) ซึ่งทางหอจะมีให้กรอกข้อมูลตอนแรกเข้า เช่น เข้านอนเวลาไหน ได้ภาษาระดับไหนบ้าง ฯลฯ แล้ว เขาจะจัดรูมเมตที่เหมาะกับเรามาให้ ถ้าใครได้รูมเมตไต้หวัน ข้อดีคือเค้าจะกลับบ้านช่วงที่ไม่มีเรียน ห้องก็จะเป็นของเรา~
มาเข้าเรื่องมหาวิทยาลัยกันค่ะ มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิ้งจื้อ (National Chengchi University ; NCCU) หรือที่คนรู้จักกันในชื่อ "เจิ้งต้า" ตั้งอยู่ในไทเป ถึงแม้ว่าแค่ข้ามสะพานก็ถึงนิวไทเปแล้วนะคะ ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยติดเขา บรรยากาศดีมากก และอากาศบริสุทธิ์ ธรรมชาติถึงขนาดว่าบางวันเราจะได้เห็นตั๊กแตนตัวเท่าฝ่ามือเกาะที่หน้าต่างก็ได้ (รูปภาพบรรยากาศมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ส่วนหนึ่งได้รับอนุเคราะห์มาจากมิตรสหายที่เรียนที่ NCCU ด้วยกันค่ะ ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)
และสำหรับหลักสูตรดังของ NCCU จะเป็นฝั่งสังคมศาสตร์ เช่น นิติศาสตร์ (Law), การทูต (Diplomacy), ชาติพันธุ์วิทยา (Ethnology) และ บริหารธุรกิจ (Business Administration)
“IMPIS” คณะนี้เรียนประมาณไหน?
ชื่อเต็มๆ คือ International Master’s Program in International Studies ตอนแรกที่เสิร์ชเจอก็งงว่าอะไรคือ International Studies พอหาข้อมูลต่อก็พบว่าเป็นหลักสูตรสาขาวิชาที่เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เราเรียนสมัยป.ตรี แต่กว้างกว่าเพราะครอบคลุมไปถึงการพัฒนาระหว่างประเทศ (Development Studies) ด้วยค่ะ
เราเรียนจบสายตรงมาก็จริง พอเข้าใจคอนเซ็ปต์กับคุ้นคำศัพท์ แต่ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ + ต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษด้วย เทอมแรกเราใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือเยอะมากกกก แทบจะไปกลับหออย่างเดียวตลอดหลายเดือน // ถ้าใครรู้สึกสุขภาพจิตเริ่มไม่โอเค NCCU จะมีคลินิกจิตวิทยาให้เราเข้าไปคำปรึกษาได้นะคะ
รูปแบบการเรียนจะมีทั้ง Lecture, Discussion, Presentation สัดส่วนต่างกันตามแต่ละวิชา มีทั้ง Paper เดี่ยว Paper กลุ่มและข้อสอบ ที่แน่ๆ คือด้วยความเป็นสายสังคม จะเป็นการเรียนที่ต้องเขียนเปเปอร์เยอะ เช่น Essay กลางภาค, Essay ปลายภาค หรือ Term Paper ความยาว 10-15 หน้า นอกจากนี้ยังเน้นอ่านแล้วมาดิสคัสกันในคลาส เช่น อภิปรายกันว่าเราคิดเห็นยังไงกับทฤษฎีนี้ และจะประยุกต์กับสถานการณ์ในโลกยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง
ดังนั้นเราต้องบริหารเวลาให้ดี มีทั้งการบ้านที่ต้องส่ง และสิ่งที่ต้องอ่านเตรียมมาก่อนเรียน อย่างเช่น บางวิชาให้อ่าน 4 บทความ บทความละ 20 หน้า = อ่านวิชาละ 80 หน้า แล้วอาจมีให้เขียน Response Paper สั้นๆ ด้วย
รีวิววิชาเด็ดในหลักสูตร IMPIS
(ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ)
ในช่วง 2 ปีการศึกษานี้ เราต้องลงเรียนทั้งหมด 30 หน่วยกิต (10 วิชา วิชาละ 3 หน่วยกิต)วิชาบังคับ 3 ตัว (รวม 9 หน่วยกิต) ได้แก่ International Relations Theory, Political Economy และ Research Methods แล้วก็จะเหลือ slot ให้ลงวิชาเลือกอีก 7 วิชา (แนะนำว่าควรลงวิชาบังคับให้หมดภายในปีแรกค่ะ)
1. International Relations Theory จากตอนอยู่ไทยเรียนทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประมาณสัปดาห์ละ 1 ทฤษฎี แต่พอเปิดเทอมที่ไต้หวันแล้วเราตกใจมาก เพราะเค้าเรียนคลาสละ 3 ทฤษฎี! ทั้งเทอมรวมๆ กันก็ประมาณ 10+ ทฤษฎีแล้ว ตรงนี้อาจจะยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน ( แต่ไม่ต้องกลัวไปค่ะ ให้เราอ่าน article ก่อนที่จะเข้าเรียน แล้วในคลาสเรียน อาจารย์ก็จะปูพื้นฐานแต่ละทฤษฎีให้ก่อน แล้วก็จะให้เราดิสคัสกับเพื่อนในห้อง)
2. Political Economy วิชานี้จะเรียนเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ โดยจะมีการสอบทุก ๆ 3 สัปดาห์ เท่ากับว่า เทอมนึงจึงสอบทั้งหมด 4 ครั้ง นอกจากนี้ก็มีการทำ presentation และการดิสคัสกันในห้องด้วยค่ะ ***เรารู้สึกว่าวิชานี้ยาก เพราะเนื้อหาเกี่ยวข้องกับทั้งเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงการสอบที่ค่อนข้างบ่อยทำให้เราต้องแอคทีฟตลอดทั้งเทอมค่ะ
3. Strategic Communication & Cultural Diplomacy วิชานี้เรียนเกี่ยวกับการทูตทางวัฒนธรรม เช่น ในชีวิตประจำวันเราได้รับอิทธิพลจาก soft power รูปแบบไหนบ้าง (ตัวอย่าง = Korean Wave) ซึ่งเราก็ได้ใช้คอนเซ็ปต์นี้ทำ Final Project ด้วยค่ะ
ส่องหลักสูตร IMPIS ที่ NCCUFinal Project
เท้าความก่อนว่าในระยะหลัง ไต้หวันโปรโมตการท่องเที่ยวเยอะขึ้นมากๆ เป็นผลจากนโยบายมุ่งใต้ใหม่ของไต้หวัน (NEW SOUTHBOUND POLICY) ซึ่งจะมุ่งเน้นการสานสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สำหรับประเทศไทย นโยบายนี้ก็ได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไต้หวันในด้านต่าง ๆ เช่น
- เพิ่มโควตานักเรียนทุน MOE ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา
- มีศูนย์ให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน (Taiwan Tourism Information Center)
- จัดแสดงวัฒนธรรมไต้หวัน
- ฟรีวีซ่าสำหรับเที่ยวไต้หวัน **ซึ่งมีหลายคนมากที่ไปเที่ยวแล้วกลับมารีวิวด้านต่างๆ ของไต้หวัน
เราว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากๆ เลยเลือกทำ Final Project เกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพของนโยบายข้างต้น ว่ามีอิทธิพลให้นักเรียนไทยเดินทางมาเรียนไต้หวันเยอะขึ้นหรือไม่ แล้วมีนักเรียนดังกล่าวมีทัศนคติต่อไต้หวันอย่างไรหลังจากมาเรียนที่ไต้หวันแล้ว (Evaluating the Effectiveness of the New Southbound Policy: A Case of Thai Higher Education in Taiwan)
ซึ่งจากการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์นักเรียนไทย 30 คน ได้ผลลัพธ์ว่านโยบายนี้มีผลพอสมควรเลยค่ะ สรุปสิ่งที่ค้นพบคร่าวๆ คือ
- นักเรียนส่วนมากเคยมาเที่ยวไต้หวันก่อนตัดสินใจมาเรียนต่อที่ไต้หวัน เพราะมีนโยบายฟรีวีซ่า นอกจากนี้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับไต้หวันมีราคาถูก สะดวกต่อการเดินทาง
- มีทุนเยอะ (นอกจาก ICDF, MOE ก็ยังมีทุนเต็มจำนวน/ทุนบางส่วนของมหาวิทยาลัย)
- หลักๆ นักเรียนที่สัมภาษณ์จะประทับใจระบบขนส่ง บัตร Easy Card ใช้เข้าถึงรถสาธารณะได้อย่างครอบคลุม ตารางเวลาชัดเจน (โดยเฉพาะในเมืองไทเป)
- สภาพความเป็นอยู่ดี สวนสาธารณะเยอะ อย่างรอบๆ ไทเปจะเป็นป่าเป็นภูเขา วันไหนอากาศดีๆ คนไต้หวันจะชอบออกมาปิกนิก ทำกิจกรรม ใช้ชีวิตกับธรรมชาติอย่างแท้จริง
- เทคโนโลยีก้าวหน้า เช่น เป็นผู้ผลิตชิป (Micro chip/ Semiconductor) รายใหญ่ สำหรับทำโทรศัพท์หรือคอมพ์ฯ ทำให้ไต้หวันเป็นประเทศยอดนิยมในการเรียนต่อสายวิศวะฯ หรือทางด้านเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
. . . . .
Part III : รีวิวไต้หวัน
(สิ่งที่ประทับใจ & อยากให้เตรียมรับมือ)
- ใช้ชีวิตสะดวกขึ้นเพราะ Easy Card เป็นทุกอย่างให้เราแล้ว ใช้ได้ทั้งสแกนเข้าหอพัก ซื้อของร้านสะดวกซื้อ ขึ้นรถเมล์, MRT หรือใช้บริการระบบสาธารณะต่างๆ (มหาวิทยาลัยดำเนินการให้ เพราะใบนี้เป็นบัตรนักศึกษาในตัวด้วย)
- ร้านอาหารไทยในไต้หวันมีเกือบทุกถนน เนื่องจากอาหารไต้หวันจะรสชาติค่อนข้างจืดและมัน ทำให้คนไทยที่กินรสจัดอย่างเราๆ อาจจะเบื่อได้ง่าย แต่ไม่เป็นไร เพราะที่ไต้หวันหาร้านอาหารไทยได้ง่ายมาก (แต่รสชาติจะถูกปากคนไทยอย่างเราไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง)
แต่ถ้าอยากตามหารสชาติ original ไทยแท้ แนะนำเป็นย่าน Chungli (จงลี่ , เถาหยวน) เนื่องจากที่นั่นเป็นเขตอุตสาหกรรมและมีแรงงานไทยอยู่เยอะ ทำให้มีร้านอาหารไทยอยู่มาก รวมถึงป้ายต่างๆ เป็นภาษาไทยด้วยค่ะ
- เตรียมรับมือกับอากาศที่ไทเป เพราะภูมิประเทศเป็นแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขา ทำให้ไทเปเป็นจุดที่อากาศชื้น ฤดูเปลี่ยนผ่านจะมีฝนตกตลอดเวลาและทั้งวันทั้งคืน ซึ่งอาจติอต่อยาวนานเป็นเดือนก็ได้ แต่ระบบระบายน้ำที่นี่ดีมากๆ ทำให้น้ำไม่ท่วม
อย่างไรก็ตาม อากาศหม่นๆ แบบไม่มีแสงแดดอาจทำให้เรารู้สึกเศร้าได้ง่าย พอฝนตกตลอด ทำให้อากาศที่นี่ชื้นมาก ถึงขนาดต้องมีเครื่องดูดความชื้นแบบจริงจังติดห้อง เพราะราอาจจะขึ้นในห้องได้ ถ้าจะไปไหนมาไหน พกร่มและสวมรองเท้ากันน้ำไว้อุ่นใจที่สุด
ส่วนในฤดูร้อนจะยิ่งกว่าไทย ถ้าอธิบายให้เห็นภาพก็คือร้อนแบบร้อนจัด ร้อนอบอ้าว ร้อนชื้น ร้อนหายใจไม่ออก ร้อนเหนียวเหนอะหนะ ร้อนแบบไม่มีลม! แนะนำให้พกครีมกันแดดที่มี SPF สูง ๆ นอกจากนี้ ช่วงฤดูร้อน ละแวกมหาวิทยาลัยก็ชอบมีแมลงที่ชื่อว่า 小黑蚊 มาดูดเลือดเราบ่อย ๆ ซึ่งเวลาโดนกัดจะคันมากๆๆๆ ยิ่งกว่ายุงบ้านเราเสียอีก แถมเวลาตุ่มหายแล้วก็ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ เพราะฉะนั้น สิ่งจำเป็นอีกอย่างคือสเปรย์ฉีดป้องกันเจ้าตัวนี้โดนเฉพาะ หาซื้อได้ตาม watson หรือ cosmed ได้เลย
(*อันนี้คือกรณีไทเป แต่ถ้าเป็นทางตอนใต้ก็จะปรับตัวง่ายกว่าเพราะร้อนคล้ายไทยและรสชาติอาหารก็เข้มข้นกว่าด้วย)
“การได้ไปเรียนที่ไต้หวันช่วงสั้นๆ แค่ 2 ปี กลับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตเราเลยค่ะ เราไปเรียนแบบแทบไม่เสียเงิน แต่ได้ฝึกทักษะการใช้ชีวิต เปลี่ยนตัวเองให้เข้าสังคมเก่งขึ้น พร้อมกับรู้จักวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และผู้คนใหม่ๆ ซึ่งเกินคุ้มกับที่พยายามขอทุนและสมัครจนได้มาเรียนที่นี่"
. . . . . . . . .
You’re Invited!
อยากปรึกษา 1:1 กับพี่อันอันตัวจริง
พบกันที่ไบเทคบางนา 27 เม.ย. 2024
รอบนี้พิเศษมากก!! Dek-D’s Study Abroad Fair ได้รับเกียรติจากรุ่นพี่นักเรียนทุนและจบนอกจากประเทศยอดนิยมตอบรับคำเชิญมาประจำบูธใหญ่ของพวกเรา เพื่อให้น้องๆ และผู้ปกครองในงานสามารถ Walk-in ปรึกษาได้ตัวต่อตัว ไม่ว่าจะเป็น รุ่นพี่ทุน Erasmus+ (ยุโรปและอเมริกา), Fulbright (อเมริกา), Chevening (สหราชอาณาจักร), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), ทุนรัฐบาลอิตาลี, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ทุนรัฐบาลไทย (ก.พ./UiS) รวมถึงรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์และออสเตรเลียด้วย
“พี่อันอัน” จะสแตนด์บายที่บูธปรึกษากับน้องๆ แบบ 1:1 ในวันที่ 27 เมษายน 2024 เคลียร์คิวไว้พบกับไฮไลต์อีกมากมายในงาน จัดพร้อมงานแฟร์การศีกษาฝั่งไทย เข้าร่วมฟรี
0 ความคิดเห็น