เจาะชีวิต! พี่ต้นคูน ทายาทรุ่น 4 ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ เรียนคณะที่ไม่ถนัด 6 ปี เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัว

เจาะชีวิต! พี่ต้นคูน ทายาทรุ่น 4 ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ เรียนคณะที่ไม่ถนัด 6 ปี เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัว

ถ้าพูดถึงยาดม เชื่อว่าน้องๆ หลายคนต้องนึกถึงสโลแกน “ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน” ของยาดมโป๊ยเซียน ที่อยู่คู่คนไทยมายาวอย่างนาน ไม่ว่าจะออกไปไหนทำอะไรก็ต้องพกติดตัว จนกลายเป็นเหมือนไอเทมคู่ใจเลยก็ว่าได้ ปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 4 อย่าง “พี่ต้นคูน - ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์” ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวแล้ว ในวันนี้คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาบอกเล่าชีวิตในวัยเรียนของพี่ต้นคูนที่ต้องเรียนในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง 6 ปี และอะไรที่ทำให้เขาผ่านมาได้อย่างสวยงาม จนสามารถเข้ามาสานต่อธุรกิจได้อย่างทุกวันนี้

เจาะชีวิต! พี่ต้นคูน ทายาทรุ่น 4 ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ กับเรียนคณะที่ไม่ถนัด 6 ปี เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัว
เจาะชีวิต! พี่ต้นคูน ทายาทรุ่น 4 ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ กับเรียนคณะที่ไม่ถนัด 6 ปี เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัว

สิ่งที่ชอบ vs สิ่งที่ต้องเลือก

ตั้งแต่เด็ก ๆ พี่ต้นคูนมีความสนใจด้านประวัติศาสตร์ และภาษาไทยเป็นพิเศษ รวมไปถึงมีความฝันอยากทำงานเกี่ยวกับการเป็นพิธีกร แต่ด้วยความที่เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจโรงงานยา ซึ่งหัวใจสำคัญของธุรกิจนี้ก็คือ เภสัชกร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ปลอดภัย และมั่นคงกว่า หากเจ้าของกิจการมีใบประกอบวิชาชีพของการเป็นเภสัชกร จึงได้มีการทำความเข้าใจและตกลงกันภายในครอบครัว พี่ต้นคูนจึงตัดสินใจเรียนต่อ ม.ปลาย แผนการเรียนวิทย์-คณิต ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา  

ถึงแม้จะต้องเรียนในสายที่ตัวเองไม่ชอบและไม่ถนัด แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เคยกีดกันความชอบเลยสักครั้ง ทั้งยังสนับสนุนให้พี่ต้นคูนได้ทำในสิ่งที่ชอบเป็นอย่างดี ด้วยความหลงใหลในประวัติศาสตร์ พี่ต้นคูนจึงตัดสินใจสมัครเรียนหลักสูตร Pre-degree คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาเอกประวัติศาสตร์ท่องเที่ยว วิชาโทภาษาไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง ควบคู่ไปกับการเรียน ม.ปลาย ซึ่งการเรียนปริญญาตรีกับมัธยมไปพร้อม ๆ กันนั้น ทำให้ต้องอ่านหนังสือหนักขึ้น แต่พี่ต้นคูนก็รู้สึกสนุก และมีความสุข เพราะได้เรียนในสิ่งที่สนใจ แถมยังได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันตอบปัญหาอีกด้วย

ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่เรียนสายวิทย์-คณิตมา ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดขึ้นกว่าเดิมว่า เส้นทางนี้ไม่เหมาะกับตัวเองเลยสักนิด จากตอนแรกที่ตั้งใจไว้ว่าจะเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ แต่ก็มีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พี่ต้นคูนต้องละทิ้งความตั้งใจนี้ไป เนื่องจากคุณย่ามีปัญหาสุขภาพกะทันหัน ซึ่งธุรกิจนี้ท่านก็เป็นผู้เริ่มต้น และได้รับการสานต่อมาจนถึงรุ่นคุณพ่อของพี่ต้นคูน ด้วยความที่สนิทกับคุณย่ามาก และเชื่อว่าในใจลึก ๆ ของท่านก็คาดหวังให้เรียนเภสัชฯ และกลับมาดูแลโรงงานต่อ พี่ต้นคูนจึงเปลี่ยนใจเลือกเรียนคณะเภสัชศาสตร์แทน แม้ว่าจะไม่ใช่คณะที่ตัวเองถนัดเลยก็ตาม

ไม่ได้ถูกบังคับ แต่เต็มใจเรียน

การตัดสินใจเลือกเรียนในครั้งนี้ ไม่ใช่การถูกบังคับแต่อย่าใด หากแต่เป็นความเต็มใจของพี่ต้นคูนเองที่ต้องการทำให้คุณย่าสบายใจและมีความสุข หลังจากที่ให้คำมั่นสัญญากับคุณย่าว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เมื่อปิดเทอมขึ้น ม.6 ก็เริ่มเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยทันที โดยเริ่มต้นอ่านเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวกับสายวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ใหม่ทั้งหมด เรียกได้ว่าเริ่มจากศูนย์เลยก็ได้ เพราะทุกครั้งที่สอบเสร็จก็มักจะคืนครูไปในทันที  ระหว่างทางแม้จะมีช่วงที่รู้สึกท้ออยู่บ้าง แต่ยังโชคดีที่มีเพื่อน ๆ สู้ไปพร้อมกัน ประกอบกับคุณย่าก็แข็งแรงขึ้นจึงทำให้มีกำลังใจมากพอสมควร ผลจากความพยายามและความตั้งใจ ทำให้พี่ต้นคูนสอบติดคณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชกรรมอุตสาหการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สำเร็จ  

คณะเภสัชศาสตร์ จะได้เรียนทั้งหมด 6 ปี โดยจะแบ่งออกเป็น 2 สาขาหลัก ได้แก่ เภสัชกรรมอุตสาหการ (Pharm Sci) เน้นเรียนเกี่ยวกับตรวจวิเคราะห์ วิจัย พัฒนา ผลิต ประกันคุณภาพ และควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ยา สมุนไพร อาหาร และเครื่องสำอาง หรือเรียกง่ายๆ ว่า เภสัชโรงงาน นั่นเอง อีกสาขาคือ การบริบาลทางเภสัชกรรม (Pharm Care)  เน้นดูแลผู้ป่วยในกระบวนการใช้ยาทั้งในโรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา ไปจนถึงงานคุ้มครองผู้บริโภคทางด้านยาและสุขภาพ  

ทำสิ่งที่ชอบ ควบคู่ไปกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ

ตั้งแต่มัธยมปลายจนกระทั่งเรียนจบเภสัช ด้วยความที่ต้องเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดมาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี ส่งผลต่อจิตใจของพี่ต้นคูนมากกว่าที่คิด  ตอนมหาวิทยาลัยไม่มีวินาทีไหนที่ไม่อยากลาออกเลย เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดจึงไม่มีพลังใจมากพอที่จะทำ  แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะบอกว่า “ถ้าไม่ไหวก็ออกมาได้ ไม่เป็นไร”  แต่เพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะทำให้ดีที่สุด บวกกับมีกำลังใจที่ดีจากคนที่รัก อย่างคุณย่า และครอบครัว จึงทำให้พี่ต้นคูนมีพลังใจและผ่านมาได้

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผ่านพ้นความทุกข์ใจเหล่านั้นมาได้ คือ การทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น พิสูจน์อักษรบทความลงนิตยสาร พิธีกรของมหาวิทยาลัย รวมถึงการเป็นติวเตอร์สอนหนังสือ วิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาฯ ซึ่งการได้ทำงานเหล่านี้เหมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจทำให้พี่ต้นคูนมีความสุขกับชีวิตในมหาวิทยาลัยมากขึ้น  และทำให้ค้นพบอีกหนึ่งงานที่รัก นั่นคือการเป็นครู นั่นเอง  

ระหว่างที่เรียนอยู่คณะเภสัชศาสตร์ พี่ต้นคูนก็เรียนต่อปริญญาโท และปริญญาเอกในสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเป็นสาขาที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันอยากจะเรียนมาตั้งแต่แรก  

ด่านแรกของการใช้ความรู้จากคณะที่เรียนมา

จุดเริ่มต้นของ “โป๊ยเซียน” เริ่มจากร้านขายสมุนไพรแบบดั้งเดิมเล็กๆ ในย่านเยาวราช เมื่อปี 2479 ยุคนั้นสินค้าส่วนใหญ่จะเน้นขายยาสมุนไพร เช่น ยาสตรีตราโป๊ยเซียน ยาน้ำเอียจับ และยาน้ำส้ม ซึ่งตอนนั้นแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้โป๊ยเซียนเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น คือ การพัฒนายาดม สูตร ‘พีเป็กซ์’ (Pe-Pex) หลอดสีแดงหัวแหลม ๆ ซึ่งสินค้าตัวนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังจากนั้นก็ได้ต่อยอดความสำเร็จของยาดมพีเป็กซ์ ด้วยการพัฒนายาดมรูปแบบใหม่ โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘ยาดมตราโป๊ยเซียน’ มีฟังก์ชัน 2 in 1 ที่มาพร้อมกับสโลแกนคุ้นหู “ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน” ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ทั้งในไทยและต่างประเทศ  

หลังจากเรียนจบจากคณะเภสัชศาสตร์ และสอบใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมผ่าน ในปี 2561 พี่ต้นคูนก็เข้ามาทำงานที่โรงงานทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มาตรฐาน GMP-PIC/S (Good Manufacturing Practice - Pharmaceutical Inspection Co-Operation Scheme) หลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร ยา หรือเครื่องสำอาง ทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่คิดว่าจะเข้ามาดูแลในส่วนของงานบริหาร หรือการประชาสัมพันธ์ ส่วนด้านงานผลิตก็ให้ทีมงานที่เชี่ยวชาญดูแล กลับกลายเป็นว่าต้องลงมาดูแลงานส่วนนี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากหลักสูตรที่เรียนจบมาเป็นกฎหมายฉบับใหม่ที่ถูกบังคับใช้ในปีนั้นพอดี  

พี่ต้นคูนต้องเข้ามาดูแลและปรับปรุงเอกสาร ขั้นตอนกระบวนการทางการผลิตทั้งหมด รวมถึงได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือ การเขียนแปลนโรงงานใหม่ เพราะเมื่อมาตรฐานมีการเปลี่ยนแปลง ระบบโครงสร้างต่างๆ ในโรงงานเองก็ต้องเปลี่ยนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดด้วยเช่นกัน โดยได้รับคำแนะนำในการเขียนแปลนจากเพื่อนสถาปนิกที่รู้จักกัน  นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าพี่ต้นคูนได้ประยุกต์ใช้สิ่งความรู้จากสิ่งที่เรียนมา และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ไปพร้อม ๆ กัน  

ช่วงแรกที่เข้ามาทำงาน พี่ต้นคูนมีไอเดียในการทำโปรเจกต์ และแนวทางการตลาดใหม่ๆ ในการพัฒนาต่อยอดแบรนด์ แต่ด้วยความที่มีงานเร่งด่วนต้องจัดการ จึงต้องพักงานส่วนนี้ไป ซึ่งกว่ากระบวนการการปรับปรุงโรงงาน รวมถึงเอกสารการต่างๆ จะเสร็จสิ้น และผ่านเกณฑ์ทั้งหมดก็ใช้ระยะเวลาไปถึง 1 ปีครึ่ง ประกอบกับเป็นช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ระบาดพอดี จึงยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการทำโปรเจกต์ใหม่ ๆ เท่าไหร่ พี่ต้นคูนจึงตัดสินใจหยุดพักงานที่บริษัทไปก่อน และหันมาโฟกัสกับการเป็นครูและวิทยากรมากขึ้น จนกระทั่งปี 2565 สถานการณ์และเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว พี่ต้นคูนก็ได้กลับเข้ามาทำงานในบริษัทอีกครั้ง โดยครั้งนี้งานที่ได้รับผิดชอบ เป็นงานที่ตัวเองชอบและมีความถนัด นั่นคือ การเป็นที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ และการโฆษณาให้กับยาดมโป๊ยเซียน

โลกเปลี่ยน แต่จุดยืนสินค้าไม่เปลี่ยน

แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่พี่ต้นคูนมองว่า ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มธุรกิจจนจะครบ 88 ปี ในปีหน้า โป๊ยเซียนยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ โดยเน้นโฟกัสที่จุดแข็งของสินค้า นั่นคือ การเป็นยาดม 2 in 1 ที่ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกัน และมีดีไซน์ดั้งเดิม 6 เฉดสีสะดุดตา รวมถึงมาตรฐานด้านคุณภาพที่ไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่พยายามจะรักษาเอาไว้ ควบคู่ไปกับการกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมกับยาดมตราโป๊ยเซียนด้วย โดยเราตระหนักเสมอว่าการที่แบรนด์เติบโตมาได้จนจะครบ 88 ปีในปีหน้าเป็นเพราะสังคมให้โอกาส อะไรที่แบรนด์ทำเพื่อสังคมและเพื่อทุกคนได้ โป๊ยเซียนจะทำ

เริ่มประเดิมกันด้วยงานอีเวนต์แรกของแบรนด์ เมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา กับงาน “สงกรานต์สยาม ผ้าขาวม้าปล่อยจอย” ณ สยามสแควร์ โดยโป๊ยเซียนเป็นสปอนเซอร์หลักในการจัดงาน ขนสไลเดอร์ยักษ์ ความยาวกว่า 50 เมตร มาให้ชาวสยามได้ร่วมเล่นร่วมสนุกกัน ผลตอบรับจากงานอีเวนต์ครั้งแรกมีผู้เข้าร่วมนับพันคน แต่ละคนรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจมากกับงานนี้ เพราะไม่เคยเห็นโป๊ยเซียนจัดงานแบบนี้มาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้แบรนด์ได้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น  

นอกเหนือจากงานอีเวนต์ยังมีโครงการมอบเก้าอี้ให้กับโบราณสถาน ที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนที่นั่งสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่ไม่รบกวนภูมิทัศน์ มีโลโก้แบรนด์เล็กน้อย สอดแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์และคุณค่าของศิลปกรรมในโบราณสถานแต่ละแห่ง โดยผ่านการตรวจสอบจากกรมอุทยานประวัติศาสตร์เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ต่อยอดโครงการนี้ด้วยการมอบเก้าอี้ให้กับโรงพยาบาลรัฐ โดยเลือกมอบให้กับโรงพยาบาลตามเมืองรอง จังหวัดแรกที่เริ่มนำร่องไปแล้วคือ จ.ชัยภูมิ ทั้ง 14 อำเภอ ผลตอบรับคือผู้รับทุกคน และทีมงานมีความสุขกับโปรเจกต์เพื่อสังคมในลักษณะนี้มาก จึงตั้งใจที่จะสานต่อนโยบายเพื่อสังคมให้มากขึ้นในปีต่อไป

ปัจจุบันบริษัทโกลด์ มิ้นต์ โปรดักส์ จำกัด นอกจากเป็นผู้ผลิตยาดมตราโป๊ยเซียนแล้ว ยังมีสินค้าอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์อีกด้วย เช่น  ยาดมโป๊ยเซียนมาร์คทู (Mark II) พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน ยาดมตราพีเป็กซ์ (PE-PAX) และยาดมตราเพ็กซ์ (PAX)  โดยมีตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศมากถึง 12 ประเทศ ในทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ  

ทั้งนี้ในอนาคตแบรนด์ตั้งใจอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรของไทยให้มีชื่อเสียงในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใดก็ตาม ทั้งยังหวังว่าโป๊ยเซียนจะยังคงเป็นที่หนึ่งใจของคนไทยตลอดไป เพราะการเป็นอันดับหนึ่งทำให้แบรนด์มีกำลังมากพอที่จะทำโปรเจกต์ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายหลักของโป๊ยเซียนในแง่ของการประชาสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  

ยาดมโป๊ยเซียนแต่ละสี กลิ่นแตกต่างกันไหม?  

คำถามชวนสงสัยที่ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ยังคงได้ยินได้เห็นกันอยู่เป็นประจำ พี่ต้นคูนยืนยันว่า “ยาดมโป๊ยเซียนแต่ละสี มีสรรพคุณ และกลิ่นมาตรฐานที่เหมือนกันทุกหลอด” แน่นอน เพราะพี่ต้นคูนเป็นคนใส่ส่วนผสมหยดสุดท้าย ซึ่งเป็นน้ำหอมสูตรเฉพาะของโป๊ยเซียนในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการผลิตยาดมด้วยตัวเอง  

สำหรับปัจจัยที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่ากลิ่นของยาดมต่างกัน ตามหลักจิตวิทยาแล้วเราจะรู้สึกว่ากลิ่นแตกต่างกันเมื่อใช้จากหลอดต่างสี เพราะแต่ละสีให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน บางคนใช้หลอดสีเหลืองอาจรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า บางคนใช้หลอดสีชมพูอาจรู้สึกว่ากลิ่นซอฟหวานละมุนมากกว่า โดยเหตุผลที่ผลิตยาดมออกมาให้มีหลากหลายสีก็เพื่อเป็นเอกลักษณ์ให้กับสินค้าเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีอีกปัจจัยที่อาจส่งผลให้กลิ่นต่างกันได้ นั่นคือ การเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ของร้านค้า แต่ละแห่งมีวิธีการเก็บสินค้าในสภาวะที่ต่างกัน เช่น เก็บที่ร้อนกลิ่นอาจจะฟุ้ง หรือเก็บในที่เย็น กลิ่นก็อาจจะไม่ฟุ้งเท่าอากาศร้อน ซึ่งสภาวะเหล่านี้ส่งผลให้คุณสมบัติทางเคมีของยาดมมีการเปลี่ยนแปลงได้ จึงทำให้เรามีความรู้สึกว่ากลิ่นยาดมของแต่ละคนไม่เหมือนกันนั่นเอง

ซึ่งเหตุผลที่แบรนด์ผลิตยาดมแบบ 2 in 1 ออกมา เพราะสมัยก่อนหลายคนต้องพกยาดมและยาน้ำแบบทาพร้อมกัน เมื่อต้องหยิบขึ้นมาใช้งานจึงค่อนข้างลำบาก ทำให้เกิดไอเดียผลิตเป็นยาดมแบบ  2 in 1 ที่ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกันขึ้นมา เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานและพกพาได้สะดวกขึ้น โดยที่กลิ่นของทั้งสองฝั่งก็เป็นกลิ่นเดียวกันอีกด้วย 

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 87 ปีที่ผ่านมา ทุกคนคงจะสังเกตเห็นว่ายาดมตราโป๊ยเซียนไม่เคยปรับเปลี่ยนแพ็กเกจยาดมเลย  นั่นเป็นเพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่ทั้งในไทยและต่างประเทศ จดจำความเป็นยาดมตราโป๊ยเซียนที่มีหลอด 6 สีสะดุดตา ที่เป็นเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมได้แล้ว หากมีการปรับเปลี่ยนแพ็กเกจที่ต่างไปจากเดิมอาจทำให้คนคิดว่าเป็นสินค้าปลอมได้

เลือกทำงานที่มีประโยชน์ และมีความสุข

ปัจจุบันนอกจากพี่ต้นคูนจะดูแลงานประชาสัมพันธ์และโฆษณาให้กับบริษัทแล้ว ก็ยังทำงานอื่นควบคู่กันไปด้วย นั่นคือ การเป็นติวเตอร์วิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาฯ วิทยากรด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และพิธีกรงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งมีคำหนึ่งคำที่พี่ต้นคูนใช้เป็นแนวทางในการทำงาน คือคำว่า “ประโยชน์สุข” หมายความว่า เลือกทำในสิ่งที่เป็นทั้งประโยชน์ และเป็นทั้งความสุข เพราะโลกของเราทุกวันนี้มีสิ่งที่ชวนให้ท้อใจเยอะ หากเราเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มีทั้งประโยชน์และมีความสุขเกิดขึ้นพร้อมกันได้ เราจะสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างยืนยาว และทำให้มีแรงผลักดันที่จะทำสิ่งนั้นให้ประสบความสำเร็จ

การตัดสินใจที่รู้สึกว่าตัวเองเลือกได้อย่างถูกต้อง  

แม้ว่าการตัดสินใจเลือกเรียนคณะเภสัชศาสตร์ จะทำให้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ตาม แต่พี่ต้นคูนไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยที่เลือกเรียนคณะนี้ เพราะอย่างน้อยก็ได้ทำเพื่อคนที่รัก และถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ได้ทำงานด้านเภสัชกรโดยตรงอีกต่อไปแล้ว แต่พี่ต้นคูนก็ยังสามารถประสานงาน พูดคุยกับทีมผลิต พี่ๆ เภสัชกร และนักวิทยาศาสตร์ในโรงงานได้อย่างเข้าใจ ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่เลือกเรียนคณะนี้มา อีกหนึ่งสิ่งที่รู้สึกว่าตัดสินใจถูกไม่แพ้กันก็คือ การตัดสินใจเป็นครู เพราะเป็นอาชีพที่ทำให้พี่ต้นคูนมีความสุข และนำไปสู่โอกาสมากมายในชีวิต อย่างเช่น ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรไปบรรยายให้บริษัททัวร์ ซึ่งวันนี้อาชีพนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในงานที่สร้างรายได้หลักให้พี่ต้นคูนอีกด้วย

ฝากถึงน้องๆ วัยเรียน ชาว Dek-D.com

สำหรับน้องๆ ที่ต้องเรียนในคณะที่ตัวเองไม่ถนัด สิ่งที่พี่ต้นคูนแนะนำก็คือ อยากให้ทุกคนเข้าใจและยอมรับกับตัวเองให้ได้ว่า บนโลกใบนี้ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการทุกอย่าง เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราทุกคนต้องเจอกับอุปสรรค และความผิดหวัง ถ้าชีวิตเราราบรื่น และสมปรารถนาไปทุกเรื่อง เราจะไม่มีทางแข็งแกร่ง และไม่เติบโตขึ้น การเรียนในคณะที่ไม่ชอบ อย่ามองว่ามันเป็นเรื่องแย่หรือเป็นความทุกข์อย่างเดียว แต่ให้มองว่ามันคือบททดสอบที่เราสามารถกำหนดวันจบของมันได้ เพราะฉะนั้นอย่าให้ความไม่ชอบ มาทำลายความสวยงามในแง่อื่นของชีวิต

 

จากเรื่องราวของพี่ต้นคูน ทำให้เห็นว่าบางครั้งชีวิตของเราก็ไม่สามารถหลีกหนีจากสิ่งที่ไม่ชอบ หรือไม่มีความสุขได้ เนื่องมาจากเหตุผลและความจำเป็นบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าคนเราไม่สามารถทนอยู่กับสภาวะที่ความทุกข์ใจไปได้ตลอด ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างช่วงเวลา หรือหาสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขกับบางอย่างขึ้นมาให้ได้ เช่นเดียวกับพี่ต้นคูนที่เลือกทำสิ่งที่ชอบ ควบคู่ไปกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อหล่อเลี้ยงสุขภาพใจให้มีความสุข และมีพลังกลับไปต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ชอบได้อีกด้วย

 “พี่ต้นคูน - ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์”  ทายาทรุ่นที่ 4 ยาดมตราโป๊ยเซียน
 “พี่ต้นคูน - ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์”  ทายาทรุ่นที่ 4 ยาดมตราโป๊ยเซียน
ทีมงานต้องขอขอบคุณ  พี่ต้นคูน - ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์ ทายาทรุ่น 4 ยาดมตราโป๊ยเซียน ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับทาง Dek-D.com รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ

 

พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น