เจาะเบื้องหลัง! ‘พี่ลูกศร ศรุติ’ จากเด็กแฟชั่นดีไซน์ สู่เจ้าของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่น Daddy and the Muscle Academy

เจาะเบื้องหลัง! ‘พี่ลูกศร ศรุติ’ จากเด็กแฟชั่นดีไซน์ สู่เจ้าของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่น Daddy and the Muscle Academy  

หากพูดถึงร้านมัลติแบรนด์สีฟ้าสดใสสไตล์วินเทจใจกลางสยามสแควร์ ที่ภายในร้านเต็มไปด้วยสารพัดของกุ๊กกิ๊กจากเหล่านักวาดมากฝีมือ เชื่อว่าน้องๆ ต้องนึกถึงร้าน ‘Daddy and the Muscle Academy’ อย่างแน่นอน ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือ ‘พี่ลูกศร - ศรุติ ตันติวิทยากุล’ อดีตเด็กแฟชั่นดีไซน์ที่ถูกแบรนด์ดังทาบทามให้ไปทำงานด้วยตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปี 3 ในวันนี้ คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาบอกเล่าชีวิตในวัยเรียน รวมถึงเบื้องหลังการสร้างอาณาจักรสารพัดของกุ๊กกิ๊กให้เป็นขวัญใจวัยรุ่นกันค่ะ

เจาะเบื้องหลัง! ‘พี่ลูกศร ศรุติ’ จากเด็กแฟชั่นดีไซน์ สู่เจ้าของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่น Daddy and the Muscle Academy
เจาะเบื้องหลัง! ‘พี่ลูกศร ศรุติ’ จากเด็กแฟชั่นดีไซน์ สู่เจ้าของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่น Daddy and the Muscle Academy  

คุยกับตัวเองบ่อย จนได้ค้นพบตัวเอง

ย้อนกลับไปช่วงวัยมัธยม ตั้งแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เรียนอยู่ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน เมื่อขึ้น ม.ปลาย จึงเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต เพราะเป็นสายที่มีโอกาสได้เลือกคณะได้มากกว่า ระหว่างเรียนพี่ลูกศรสามารถทำคะแนนสอบได้ดีมาโดยตลอด จนวันหนึ่งก็เริ่มสังเกตว่า ตัวเองไม่มีความสุขกับการเรียนสายนี้เลย เพราะกว่าจะได้คะแนนที่ดีนั้นต้องแลกมาด้วยความทรมานและน้ำตาหลายร้อยหยด  

พี่ลูกศรจึงมานั่งทบทวน และคุยตัวเอง เพื่อหาข้อสรุปว่าชื่นชอบหรือสนใจด้านไหนกันแน่ สุดท้ายก็พบว่าตัวเองไม่ชอบการเรียนสายวิทย์-คณิตจริงๆ และมีสิ่งหนึ่งที่ช่วงนั้นรู้สึกอินเป็นพิเศษ นั่นคือ เวลาไปรอพี่สาวซ้อมเชียร์ลีดเดอร์แถวสยามจะชอบสังเกตการแต่งตัว หรือการมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าของผู้คน พอเริ่มสังเกตบ่อยๆ เข้าก็เริ่มแมทช์เสื้อผ้าใส่เองมากขึ้น แต่ก็ยังเกิดข้อสงสัยว่าสิ่งนี้จะสามารถทำเป็นอาชีพได้จริงหรือเปล่า ประกอบกับตัวเองเป็นคนเดียวภายในครอบครัวที่มีเซนส์เรื่องศิลปะมากที่สุด ตั้งแต่เด็กๆ ก็มักจะชอบวาดรูป และสะสมงานอาร์ตน่ารักๆ เช่น กระดาษโน้ตซานริโอ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  

หลังจากที่รู้ตัวแล้วว่า สายวิทย์-คณิต ไม่ใช่เส้นทางที่ตัวเองต้องการ ตอน ม.5 พี่ลูกศรจึงตัดสินใจย้ายไปเรียนสายศิลป์คำนวณแทน เพื่อที่จะเอาเวลาในการอ่านหนังสือเกี่ยวกับสายวิทย์ไปโฟกัสกับวิชาอื่นมากขึ้น ในตอนแรกตั้งใจจะเรียนคณะบริหารธุรกิจ เพราะว่าที่บ้านทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่หลังจากที่ค้นพบว่าไปสายศิลปะน่าจะรุ่งกว่า จึงเริ่มศึกษาคณะที่ใช้ทักษะวาดรูปในการเรียน จนได้มาเจอกับคณะสถาปัตยกรรมศาตร์ และมองเห็นโอกาสถ้าเรียนคณะนี้น่าจะกลับมาช่วยงานที่บ้านได้ จึงไปลงคอร์สติวสอบอยู่ประมาณ 1 เทอม และได้พบว่าสถาปัตย์ยังไม่ใช่ เพราะตัวเองไม่ได้อินกับการออกแบบตึกอาคารมากนัก จึงกลับมาคุยกับตัวเองอีกครั้งจนได้มาค้นพบกับเอกแฟชั่นดีไซน์ และได้ลงเรียนคอร์สติวอีกครั้ง พี่ลูกศรเล่าว่าพอได้ลองติวแฟชั่นดีไซน์ก็รู้สึกมีความสุขและหลงใหลในศาสตร์นี้มาก ทำให้ตัดสินใจเลือกที่จะสอบเข้าสาขานี้ทันที

โดยปกติแล้วคนที่จะสอบเข้าสาขานี้ ส่วนใหญ่จะเริ่มติวกันตั้งแต่ ม.3-4 แต่พี่ลูกศรเป็นคนหนึ่งที่เริ่มติวตอน ม.6 เทอม 1 ซึ่งนับว่าเริ่มช้ากว่าคนอื่นๆ ทำให้มีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก เนื่องจากมีการสอบรับตรงในเดือนตุลาคม พี่ลูกศรจึงจัดตารางเวลาในแต่ละวันออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 9.00-12.00 น. 13.00-16.00 น. 17.00-20.00 น. เพื่อฝึกวาดรูปเตรียมสอบรับตรงอย่างเดียว

ฝีมือสะดุดตาแบรนด์ดัง มีงานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

สำหรับการสอบรอบรับตรงในตอนนั้นต้องทำแบบทดสอบ 2 หัวข้อ ได้แก่ ความถนัดนฤมิตศิลป์หรือทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับศิลปะ และการออกแบบเสื้อผ้าตามโจทย์ที่กำหนด ซึ่งผลจากความขยันและพยายามตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้พี่ลูกศรสามารถสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานฤมิตศิลป์ เอกแฟชั่นและสิ่งทอ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำเร็จ  

สาขานฤมิตศิลป์ เอกแฟชั่นและสิ่งทอ จุฬาฯ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบเครื่องแต่งกาย ตั้งแต่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น การหาแรงบัลดาลใจมาสร้างสรรค์ชิ้นงาน การสร้างแบบตัดเสื้อผ้าขั้นพื้นฐาน โดยจะเน้นสอนให้นักศึกษาทุกคนเป็นเหมือนผู้ประกอบการ สอนให้เข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจแฟชั่น การสร้างแบรนด์ รวมถึงสามารถวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมแฟชั่น เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและแฟชั่นที่มีมูลค่าเพิ่มที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบันและในอนาคต แม้จะเรียนด้านการออกแบบเสื้อผ้ามา แต่ก็ยังมีการสอนความรู้ด้านการทำธุรกิจแฟชั่น จึงทำให้พี่ลูกศรพอมีพื้นฐานทางด้านการทำธุรกิจติดตัวมาบ้าง  

ในตอนปี 3 พี่ลูกศรมีโอกาสไปฝึกงานกับแบรนด์ Playhound แต่ช่วงนั้นทำส่งผลงานประกวดเยอะมาก จึงขอทางมหาวิทยาลัยฝึกงานแค่ 1 เดือนครึ่งเท่านั้น ก่อนที่จะเอาเวลาที่เหลือมาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการส่งผลงานการออกแบบเข้าประกวดในโครงการต่างๆ เช่น งานแกรนด์สปอร์ต จนได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานมาครอบครอง นอกจากนี้ ผลงานที่ส่งประกวดกับกระทรวงวัฒนธรรมก็มีแฟชั่นบล็อกเกอร์จากประเทศอังกฤษ Susie Bubble มาที่เมืองไทยพอดี และได้นำผลงานไปโชว์ในบล็อกส่วนตัว ทำให้คนได้เห็นกันอย่างแพร่หลาย และต่างก็ให้ความสนใจกันทั่วโลก

หนึ่งในนั้นคือ แบรนด์ไทย Sretsis ได้ติดต่อเพื่อชักชวนให้พี่ลูกศรไปร่วมทำงานด้วย ซึ่งในขณะนั้นยังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 เทอม 2 แต่ก็ได้รับการทาบทามว่า หากเรียนจบก็อยากให้ไปทำงานด้วยกันทันที แน่นอนว่าหลังเรียนจบพี่ลูกศรก็ได้เข้าทำงานที่ Sretsis ในตำแหน่งดีไซเนอร์ ซึ่งแบรนด์ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในประเทศญี่ปุ่น พี่ลูกศรจึงมีโอกาสนำผลงานในคอลเลกชั่นต่างๆ ที่ออกแบบไปโชว์ในงาน Tokyo Fashion Week อีกด้วย

ใช้ความชอบต่อยอดเป็นธุรกิจ

จุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจมาจากกลุ่มเพื่อนที่ทำงาน Sretsis ด้วยกัน 4 คน ที่มีความชื่นชอบในสไตล์วินเทจยุค 90s คล้ายกัน และต้องการหาเงินไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน โดยที่ไม่ใช้เงินเดือนของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะขายอะไร และใช้ชื่ออะไรดี แต่มีไอเดียว่า การที่เพื่อนมารวมตัวมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความถนัด มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน จึงตั้งชื่อว่า 'Daddy and the Muscle Academy' และช่วยกันสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา ในปี 2558 ด้วยเงินลงทุนเพียง 5,000 บาท  

Daddy and the Muscle Academy เป็นชื่อหนังยุค 90 จากประเทศฟินแลนด์ พี่ลูกศรรู้สึกว่าชื่อนี้สามารถนำมาต่อยอดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ จึงนำมาพัฒนาเป็นเรื่องราวของครอบครัว ที่ประกอบไปด้วย Daddy คุณพ่อนักกล้าม, Mommy คุณแม่เจ้าระเบียบ, Wendy พี่สาววัยว้าวุ่น และ Lucy น้องเล็กจอมป่วน เพื่อสร้างสตอรี่ที่น่าจดจำให้กับแบรนด์ โดยสินค้าทุกอย่างในแบรนด์จะนำเสนอคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวละคร โดยมีที่มาจากเพื่อนทั้ง 4 คน ซึ่งเป็นการช่วยสร้าง Mood and Tone ให้กับสินค้าต่างๆ ดูน่าสนใจขึ้นมา

ช่วงแรกที่เริ่มทำแบรนด์จะใช้เวลาช่วงพักกลางวันมาพูดคุยและเสนอไอเดียกัน ก่อนจะนำไปโพสต์ขายบนโลกออนไลน์ โดยเน้นขายใน Instagram เป็นหลัก และออกบูธตามงานอีเวนต์ต่างๆ บ้าง หลังจากที่ทำงานกับแบรนด์ Sretsis ไปได้ประมาณ 3 ปี ประกอบกับแบรนด์ของตัวเองเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พี่ลูกศรจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และหันมาโฟกัสกับการพัฒนาแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น

เปิดพื้นที่สนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่

หลังจากเปิดร้านใน Instagram มาได้ประมาณ 3 ปี ก็ถึงเวลาของการขยับขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นด้วยการเปิดหน้าร้าน ซึ่งแรงบันดาลใจและไอเดียในการเปิดร้านมัลติแบรนด์พี่ลูกศรได้มาจากการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น และสังเกตเห็นว่ามีร้านขายของน่ารักกุ๊กกิ๊กจากฝีมือนักวาดหลายๆ คนเยอะมาก พอนึกย้อนกลับมาในประเทศไทย ณ ตอนนั้น ยังไม่มีร้านที่เปิดโอกาสให้ Young Designer หรือนักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีผลงานได้นำสินค้ามาวางขาย จึงตัดสินใจเปิดร้านที่สยามสแควร์ขึ้นมา ในปี 2561  

ความตั้งใจในการทำเปิดร้าน DADDY อยากให้เป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับ วัยรุ่นไทยที่ชื่นชอบการออกแบบได้มาแสดงฝีมือ เพื่อเป็นการส่งเสริมผลงานของนักออกแบบชาวไทยมากขึ้น หรือเป็นพื้นที่ส่งต่อพลังบวก ความดีต่อใจ ให้กับลูกค้าที่มาซื้อของที่เมื่อได้รับสินค้าแล้ว เขามีกำลังใจอยากอ่านหนังสือ หรือมีไอเดียในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา

ในวันแรกที่เปิดร้านก็ได้การตอบรับจากลูกค้าเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้มาก ด้วยความที่เป็นร้านสไตล์ใหม่ที่รวบรวมสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่วัยรุ่นชื่นชอบ บวกกับสไตล์การตกแต่งร้านที่ต่างออกไปจากร้านอื่นๆ จึงมีลูกค้าให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก เกิดเป็นปรากฏการณ์คนมาถ่ายรูปหน้า และแชร์ลงในโซเชียล ทำให้มีลูกค้าเริ่มตามมาจากการบอกต่อในโลกออนไลน์ จนกลายเป็นว่า DADDY เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ และทำให้แบรนด์มีโอกาสได้ไปจัด Pop-up Store ที่ LaForet Harajuku และได้ทำคอลเลกชั่นร่วมกับร้าน RRR ที่โตเกียวอีกด้วย

สร้างเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าติดตาม

แม้ว่าจะเรียนจบด้านแฟชั่นดีไซน์มา แต่พี่ลูกศรก็พอมีพื้นฐานในการทำธุรกิจมาบ้าง เนื่องจากที่คณะเรียนเป็นการเรียนแฟชั่นในรูปแบบธุรกิจ จึงทำให้เข้าใจในเรื่องของการผลิตเสื้อผ้า หรือการสร้างแบรนด์ สำหรับการประยุกต์ใช้ความรู้จากตอนที่เรื่องที่พี่ลูกศรให้ความสำคัญมากที่สุด ก็คือ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เพราะการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด จะช่วยเพิ่มทั้งยอดขายและภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพ โดยเน้นในเรื่องของข้อมูลความสนใจ พฤติกรรม ความเชื่อ ทัศนคติต่างๆ ของลูกค้า เพื่อให้รู้ว่ากำหนดทิศทางของแบรนด์ไปในทางใด หรือจะทำการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไรบ้าง

ลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์ DADDY เป็นผู้หญิง ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน ดังนั้น สินค้าจึงค่อนข้างมีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก และมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องเขียน สติ๊กเกอร์ โปสการ์ด เคสโทรศัพท์ ฯลฯ เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าในทุกๆ วัย  

อีกหนึ่งสิ่งที่พี่ลูกศรให้ความสำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ Corporate Identity (CI) หรือเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพราะเป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารตัวตนและบุคลิกของแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำให้กลุ่มลูกค้า โดยจุดเด่นของแบรนด์ DADDY คือการสร้างเรื่องราวให้กับคาแรกเตอร์ทั้ง 4 ตัว โดยใส่คาแรกเตอร์เหล่านี้ในงานออกแบบทุกชิ้น ทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันและอยากติดตามเรื่องราวของครอบครัวนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือแม้กระทั่งการตกแต่งร้านทั้งภายใน และภายนอกให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น ผ่านสีสันที่สดใสสะดุดตา ไม่ว่าจะถ่ายรูปจากมุมไหนคนก็รู้ว่าถ่ายที่ร้าน DADDY เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าจดจำให้แบรนด์

กุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ DADDY ติดกระแส และเป็นขวัญใจวัยรุ่น

ปัจจุบันร้านมัลติแบรนด์ในประเทศไทยเริ่มมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งพี่ลูกศรเองก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่คนเริ่มเห็นคุณค่าในงานศิลปะ และหันมาสนับสนุนเหล่านักออกแบบชาวไทยกันมากขึ้น ในแต่ละแบรนด์ก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งความท้าทายในการทำร้านมัลติแบรนด์ คือ ต้องสื่อสารอย่างไรเพื่อให้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่จดจำแบรนด์ได้ เพราะลูกค้าแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งช่วงวัยที่เปลี่ยน ความสนใจก็เปลี่ยนตาม ดังนั้น การปรับตัวตามเทรนด์และช่วงวัยของลูกค้า จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ DADDY ติดกระแส และเป็นขวัญใจวัยรุ่นมาอย่างยาวนาน  

หลังจากที่ทำธุรกิจมา 8 ปี ความฮิตที่หน้าร้านสาขาหลักอย่างสยามสแควร์ก็ไม่เคยแผ่วลง ซึ่งเคล็ดลับในการทำงานของพี่ลูกศรที่ทำให้แบรนด์เติบโตได้มาจนถึงทุกวันนี้ คือ การปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันกับกระแสต่างๆ และไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ และแน่นอนว่าแบรนด์ DADDY จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าปราศจากความพยายาม ความตั้งใจ และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง  

ปัจจุบันแบรนด์ DADDY มีหน้าร้านอยู่ 2 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์ ซอย 2 และสาขาใหม่ล่าสุดที่ห้าง THE EmSphere ในธีม DADDY MOTEL ที่ยังคงความน่ารักสดใสไว้เหมือนเดิม สำหรับเป้าหมายในอนาคตของแบรนด์ ด้วยความที่แบรนด์มีเรื่องราวที่สนุกสนานน่าติดตามอยู่แล้ว พี่ลูกศรมองว่า DADDY เป็นเหมือนค่านิยมหรือวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของทุกคนมากขึ้น ในวันหนึ่งอาจจะกลายเป็น  DADDY HOTEL หรือ DADDY PET SHOP ก็ได้ ทั้งนี้ ยังอยากให้แบรนด์นี้เป็นเหมือน Tourist Destination และเป็นหนึ่งในเวทีที่ทำให้ดีไซเนอร์ที่มีแบรนด์เล็กๆ ของตัวเอง เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ  

สิ่งที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน

ด้วยความที่ตอนเด็กพี่ลูกศรชอบพูดคุยกับตัวเองเป็นประจำ จึงไม่มีสิ่งไหนที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยนั้นเลย เพราะว่าได้มอบความสุขให้กับตัวเอง ด้วยการที่ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ ณ ตอนนั้นไปแล้ว แต่มีอยู่หนึ่งสิ่งที่อยากกลับไปพัฒนาให้ตัวเองเก่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข เพราะตอนเด็กได้เรียนคณิตศาสตร์ก็จริง แต่พอมาทำธุรกิจก็มีบางเรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอน เช่น ภาษี หรือการเป็นเจ้าของกิจการ ถ้าได้เรียนเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ยังเด็ก โดยที่ไม่ได้ต้องเจอปัญหาก่อนแล้วมาแก้ทีหลังก็คิดน่าจะเป็นสิ่งดีสำหรับตัวเองในอนาคต

ฝากถึงน้องๆ ชาว Dek-D.com

สำหรับน้องๆ วัยเรียนที่อยู่ในช่วงค้นหาตัวเอง หรือมีสิ่งที่สนใจอยู่แล้ว พี่ลูกศรแนะนำให้คุยกับตัวเยอะๆ ว่า เราสนใจอะไร หรือเราชอบสิ่งนี้จริงๆ หรือเปล่า เป็นไปได้ก็อยากให้ลองทำหลายๆ อย่าง เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ ถ้าอยากเห็นภาพชัดขึ้นลองไปพูดคุยกับคนที่เขาทำสายอาชีพนี้ และจินตนาการดูว่าถ้าเราต้องใช้ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตไปกับสายงานนี้ เราจะมีความสุขไหม อีกหนึ่งทางเลือกก็คือ ลองทำอะไรที่เราไม่ชอบดูบ้าง บางทีเราอาจจะเปลี่ยนความคิดจากที่ไม่ชอบกลายเป็นชอบก็ได้ หรืออาจจะดีที่เราได้ตัดตัวเลือกบางอย่างที่คิดว่าไม่ใช่แน่ๆ ออกไปจากชีวิตได้ทันที  

พี่ลูกศร - ศรุติ ตันติวิทยากุล  เจ้าของแบรนด์ Daddy and the Muscle Academy
พี่ลูกศร - ศรุติ ตันติวิทยากุล  เจ้าของแบรนด์ Daddy and the Muscle Academy

จากเรื่องราวของพี่ลูกศร ทำให้ได้เรียนรู้ว่า จุดเริ่มต้นของความสำเร็จอาจเริ่มมาจากการได้ทำในสิ่งที่รักหรือสิ่งที่ชอบ เพราะการได้ทำในสิ่งเหล่านี้เราจะรู้สึกสนุกและมีความสุขเมื่อได้ลงมือทำ ทั้งยังเป็นแรงผลักดันโดยอัตโนมัติว่าเราต้องทำให้ดี แม้ว่าระหว่างทางอาจจะล้มเหลว หรือมีอุปสรรค แต่เมื่อมันคือสิ่งที่ชอบ ยิ่งชอบมาก ก็จะยิ่งทุ่มเท และยอมที่จะใช้ความพยายามทั้งหมด เพื่อให้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง เพราะความสำเร็จนั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่มาจากการทำงานหนัก จากความพยายามของตัวเราเอง

 ทีมงานต้องขอขอบคุณ  พี่ลูกศร ศรุติ ตันติวิทยากุล เจ้าของแบรนด์ Daddy and the Muscle Academy ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับทาง Dek-D.com รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ

 

พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด