เจาะชีวิต! ‘พี่คิม กวิน’ จากเด็กเอกอัญมณีฯ สู่เจ้าของแบรนด์ Otteri ร้านสะดวกซักที่มีสาขามากที่สุดในไทย

เจาะชีวิต! ‘พี่คิม กวิน’ จากเด็กเอกอัญมณีฯ สู่เจ้าของแบรนด์ Otteri ร้านสะดวกซักที่มีสาขามากที่สุดในไทย

ถ้าพูดถึงเรื่องการซักผ้า เชื่อว่าน้องๆ หลายคนที่เป็นเด็กหอ หรืออาศัยอยู่คอนโด ต้องเคยใช้บริการร้านสะดวกซักจากแบรนด์ ‘Otteri’ และคงมีหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์ของญี่ปุ่นกันอย่างแน่นอน ซึ่งความจริงแล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ ‘พี่คิม - กวิน นิทัศนจารุกุล’ อดีตนักศึกษาเอกอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ผันตัวมาเปิดร้านสะดวกซัก ในวันนี้คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาบอกเล่าชีวิตในวัยเรียน ประวัติแบรนด์ Otteri รวมถึงแนวทางในการทำธุรกิจให้เติบโตได้มากกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ ต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

เจาะชีวิต! ‘พี่คิม กวิน’ เจ้าของแบรนด์ Otteri และประวัติร้านซักรีด  Otteri
เจาะชีวิต! ‘พี่คิม กวิน’ เจ้าของแบรนด์ Otteri และประวัติร้านซักรีด  Otteri

อดีตนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศปานามา

ย้อนกลับไปสมัยวัยเรียนตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม พี่คิมเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก วัยเรียนของพี่คิมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ค่อนข้างตั้งใจเรียน และได้เกรดดีพอสมควร มีทำกิจกรรมตั้งวงดนตรีไปแข่งขัน Hot wave กับเพื่อนๆ อยู่บ้าง ทั้งยังเคยมีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS ในช่วง ม.4 อีกด้วย แต่เนื่องจากคะแนนสอบไม่ถึงเกณฑ์ จึงทำให้ไม่ได้ไปประเทศอเมริกาตามที่คาดหวังไว้  ซึ่งตอนในนั้นพี่คิมก็รู้สึกว่าไปประเทศไหนก็ได้ เพราะต้องการไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นหลัก จึงตัดสินใจไปประเทศปานามาแทน

ด้วยความที่ไปอยู่ในเมืองรองของประเทศ โฮสต์แฟมิลี่ส่วนใหญ่จึงเป็นคนฐานะปานกลาง ซึ่งการใช้ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้ เพราะบางวันคุณแม่ที่คอยดูแลต้องไปสอนศาสนาบนเขา ทำให้พี่คิมต้องทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเองมากขึ้น ทั้งยังเป็นเมืองที่ไม่มีสัญญาณทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างยากลำบาก นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พี่คิมได้ใช้ชีวิตในโลกกว้าง เปิดมุมมองใหม่ๆ และเข้าใจเรื่องความแตกต่างของวัฒนธรรมที่หลากหลายมากขึ้น  

การไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในครั้งนี้นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางความคิดของพี่คิมเลยก็ว่าได้ เมื่อกลับมาประเทศไทยเขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นเก็บเกี่ยวประการณ์ครั้งใหม่ พร้อมทั้งสะสมทุนทรัพย์ จากการทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านกาแฟ Coffee World ในช่วงปิดเทอมเป็นประจำ ก่อนที่จะต้องหยุดทำไป เพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

เลือกเอกอัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัว

พี่คิมเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านจำหน่ายเครื่องประดับอัญมณี โดยครอบครัวก็มีความตั้งใจว่า อยากให้ลูกชายกลับมาสานต่อธุรกิจของที่บ้าน จึงทำให้พี่คิมเลือกเรียนต่อ คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวัสดุศาสตร์ เอกอัญมณีและเครื่องประดับ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อนำความรู้ที่เรียนกลับมาช่วยดูแลและพัฒนาธุรกิจของครอบครัวต่อไป  

โดยสาขาวัสดุศาสตร์ เอกอัญมณีและเครื่องประดับ จะเน้นเรียนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของอัญมณีประเภทต่างๆ การจำแนกแยกประเภทของอัญมณี กระบวนการผลิตและการออกแบบ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงกระบวนการทางการตลาดของสินค้ากลุ่มนี้ เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดให้สินค้าออกไปให้มีคุณภาพ และทันต่อกระแส

ในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยพี่คิมก็ได้กลับมาทำงานพิเศษอีกครั้ง โดยอาศัยความสามารถจากการไปเรียนแลกเปลี่ยน ไปเป็นล่ามแปลภาษาสเปนตามงานอีเวนต์ต่างๆ อย่าง เวทีประกวดมิสยูนิเวิร์ส ปี 2548, งานการค้าระหว่างประเทศ เม็กซิโก เปรู ฯลฯ เป็นช่วงที่เน้นเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย จนกระทั่งเรียนจบก็ได้กลับมาช่วยสานต่อธุรกิจจากคุณพ่อ ในปี 2551 แต่ทำไปได้ประมาณ 2 ปี ก็เกิดกีฬาสีทางการเมือง ธุรกิจร้านอัญมณีของคุณพ่อก็ได้รับผลกระทบไปด้วย คุณแม่จึงชักชวนให้ไปทำธุรกิจโรงงานทอผ้ากับคุณแม่ ทำให้ผันตัวมาเป็นเซลส์ขายผ้าตามโรงแรมกับโรงพยาบาล จนกระทั่งผู้ใหญ่ให้โอกาสไปคุมโรงงานซักผ้า จึงทำให้เริ่มมีไอเดียอยากเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง

จุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจร้านสะดวกซัก

หลังจากคุมโรงงานซักผ้าได้ประมาณ 2-3 ปี เริ่มเล็งเห็นธุรกิจขายพ่วง จึงปรึกษากับภรรยาที่เรียนจบวิศวะเคมีว่า ลูกค้าที่ซื้อผ้าไปก็ต้องมีการซักผ้า ดังนั้น พวกผลิตภัณฑ์ซักผ้า หรืออุปกรณ์ซักอบรีดก็น่าจะนำมาขายได้เช่นกัน จึงตัดสินใจออกผลิตภัณฑ์ น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม และบินไปประเทศจีน เพื่อหาโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าก่อนที่จะเซ็นสัญญาแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่าย ภายใต้บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในปี 2555 โดยอาศัยฐานลูกค้าเก่าของที่บ้าน นำสินค้าไปเสนอขาย แต่ขายไปได้ประมาณ 3 ปี Alibaba ก็เริ่มเข้ามารุกตลาดในไทยมากขึ้น คนไทยจึงสามารถซื้อสินค้าหรืออุปกรณ์ที่ขายอยู่จากคนจีนโดยตรง ประกอบกับการค้าขายระหว่างประเทศก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น

ทำให้พี่คิมเริ่มมองเห็นทิศทางของธุรกิจ ณ ตอนนั้นว่า น่าจะไปไม่รอด จึงต้องเปลี่ยนแนวคิดทางในการทำธุรกิจจากการขายแบบ B2B (Business-to-Business) ที่เป็นการค้าขายระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกันเอง มาเป็น B2C (Business-to-Customer) ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการระหว่างเจ้าของธุรกิจ และผู้บริโภครายบุคคลแทน

ซึ่งสิ่งที่จุดประกายไอเดียให้พี่คิมเปิดร้านสะดวกซักนั้นมาจากการไปเที่ยวประเทศมาเลเซีย และสังเกตเห็นว่ามีธุรกิจร้านสะดวกซักเกิดขึ้นมากมาย ทำให้ฉุกคิดได้ว่าประเทศไทยและมาเลเซียมีสภาพภูมิอากาศที่ใกล้เคียงกัน ถ้ามาเลเซียสามารถทำธุรกิจนี้แล้วประสบความสำเร็จที่ไทยก็ต้องทำได้เช่นกัน และคิดว่าอีกไม่นานกระแสร้านสะดวกซักต้องเข้ามาในประเทศไทยแน่นอน จึงตัดสินใจกลับมาเปิดธุรกิจร้านสะดวกซักเป็นเจ้าแรกของไทยทันที

เปิดสาขาแรกก็เจ๊งไม่เป็นท่า เพราะใช้อีโก้ทำงาน  

ร้านสะดวกซักสาขาแรก ถูกก่อตั้งในปี 2559 โดยใช้ชื่อว่า ‘Coin Laundry’ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกจ้างในนิคมอุตสาหกรรม แถวสมุทรสาคร ซึ่งทำเลที่ตั้งค่อนข้างดี มีอะพาร์ตเมนต์ 20-30 แห่ง ด้วยความที่เชื่อมั่นว่าตัวเองเก่ง เพราะเคยทำธุรกิจมาก่อน เลยไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ทำงาน  เมื่อทำร้านสะดวกซักต้องไปได้ไกลแน่นอน แต่ทว่ากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะกลุ่มลูกจ้างส่วนใหญ่ยังนิยมซักเสื้อผ้าด้วยมือกันอยู่ บทเรียนครั้งนี้ทำให้พี่คิมคิดได้ว่า จะอาศัยแค่ความเชื่อมั่นหรือสัญชาตญาตของตัวเองอย่างเดียวมันไม่พอ จึงได้กลับมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้ง และได้รู้ว่าสิ่งที่ยังขาดหายไปคือการทำวิจัยการตลาด (Marketing research) และยังไม่มีความรู้มากพอในเรื่องการสร้างแบรนด์  

พี่คิมในวัย 30 ปีจึงตัดสินใจไปเรียนเสริมในคอร์สการบริหารจัดการธุรกิจแฟรนไชส์ (B2B Franchise) ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อที่จะกลับมาพัฒนาและขยายธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่เรียนจบคอร์สก็ได้นำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการรีแบรนด์ใหม่ โดยเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่อง Market segment หรือการแบ่งกลุ่มตลาดตามลักษณะของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งพบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการซักผ้ามากกว่าผู้ชาย จึงเป็นที่มาของการนำคาแรกเตอร์ อย่าง ‘ตัวนาก’ มาเป็นโลโก้ ซึ่งในตลาดออนไลน์เองก็ยังไม่เคยมีใครใช้สัตว์ชนิดนี้เป็นโลโก้แบรนด์ และใช้ชื่อร้านว่า Otter ซึ่งได้เติม i (อิ) เข้ามา เพื่อเพิ่มกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นเล็กน้อย จึงเป็นที่มาของ ‘Otteri’ อย่างทุกวันนี้

ในช่วงแรกของการเปิดร้านที่รีแบรนด์ใหม่ มีการจัดโปรโมชั่นทดลองซักฟรี เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ โดยผลตอบรับจากลูกค้าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และถึงแม้โปรโมชั่นซักฟรีจะมีเพียงช่วง 10 วันแรก แต่หลังจากนั้นก็พบว่า ยังมีลูกค้ากลับมาใช้บริการต่อเนื่อง ความสำเร็จจากการรีแบรนด์ใหม่อีกครั้ง ทำให้พี่คิมขยายธุรกิจรูปแบบแฟรนไชส์ได้มากขึ้น ในปีแรกสามารถขยายไปได้มากกว่า 12 สาขา โดยเป็นสาขาที่พี่คิมดูแลเอง 3 แห่ง ส่วนที่เหลือเป็นแฟรนไชส์ตามหัวเมืองต่าง ๆ ของผู้ที่มาลงทุน

เจ้าแรกของไทยกับการกำหนดมาตรฐานในตลาด

เนื่องจากร้านสะดวกซักเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน ดังนั้น ในช่วงแรกเริ่มพี่คิมต้องทำการตลาดให้กับคนทั้งอุตสาหกรรม รวมไปถึงคู่แข่งของเราในอนาคตด้วย เพื่อให้กลุ่มผู้บริโภคเข้าใจว่า ‘ร้านสะดวกซัก’ เป็นร้านเกี่ยวกับการซักผ้าได้อย่างสะดวกสบาย และหลังจากที่ตัวธุรกิจร้านสะดวกซักเริ่มเป็นที่รู้จักก็ค่อยหันกลับมาโฟกัสกับการทำ Branding ของแบรนด์ Otteri มากขึ้น ซึ่งข้อดีของการเป็นเจ้าแรกในตลาด ทำให้สามารถกำหนดมาตรฐานของตลาดได้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคา เวลา การบริการ ทำให้คู่แข่งที่ตามมาต้องเอามาตรฐานที่กำหนดไว้ไปเป็นตัวเปรียบเทียบ  

วิสัยทัศน์ของแบรนด์ Otteri คือ การสร้างสรรค์สังคมที่มีสุขภาพดีโดยเริ่มจากการใส่เสื้อผ้าที่สะอาด (Creating Healthy Lifestyle Community)  โดยมีจุดแข็งคือ การเป็น First mover ที่กำหนดมาตรฐานของตลาด ทำให้กลุ่มผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ได้ตั้งแต่แรก ส่งผลให้แบรนด์มีฐานลูกค้าเยอะที่สุดในประเทศ จากการขยายสาขาไปอย่างรวดเร็วที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องพบเจอ  ดังนั้น คนทั่วไปที่ไม่เคยใช้บริการเวลามองเห็นโลโก้ก็สามารถมั่นใจได้เลยว่าจะได้รับมาตรฐานที่ดีจากแบรนด์แน่นอน  

พี่คิมเสริมว่า ความท้าทายในการทำร้านสะดวกซักของแบรนด์ Otteri ไม่ใช่เรื่องของการเป็นคู่แข่งกับแบรนด์อื่น เพื่อยืนยันว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง เพราะแบรนด์ไม่ได้ต้องการเป็นที่หนึ่งเพียงเพราะมีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย แต่สิ่งที่อยากได้คือ การเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า และทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการร้านสะดวกซักได้อย่างสะอาด และราคาเข้าถึงง่ายจริงๆ  

หัวใจสำคัญที่ทำให้ Otteri ได้รับความนิยมจากลูกค้า

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Otteri เติบโตขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว และได้รับความนิยมจากลูกค้าตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแบรนด์เข้าใจปัญหาเรื่องการซักผ้าของกลุ่มผู้บริโภคอย่างแท้จริง จากผลสำรวจของทีมงาน Otteri พบว่า การซักผ้าของหนึ่งครอบครัวเฉลี่ยประมาณ 16 ชั่วโมง/สัปดาห์ แต่การมีอยู่ของแบรนด์สามารถเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาจุดนี้ได้ ทำให้ลูกค้ามีเวลาใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น ลูกค้าสามารถซักผ้าและอบผ้าให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง และพับเก็บได้ในทันที ซึ่งนับว่าเป็นการตอบโจทย์กับวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ ที่ไม่ต้องการเสียเวลานานไปกับการซักผ้า

ส่วนแนวคิดที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จของพี่คิม คือ การโฟกัสกับการทำงานอย่างเต็มที่ และต้องมีความอดทน ไม่ว่าจะอดทนต่อการรอคอย อุปสรรค ความย่อท้อ หรือแม้เต่ความยากลำบาก เพราะถ้าหากไม่มีความอดทน ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จ หรือต่อให้จะไปไม่ถึงปลายทางดั่งใจหวัง แต่ระหว่างทางนั้นเรามุ่งมั่นตั้งใจ สุดท้ายเราจะไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเราได้ทำมันอย่างเต็มที่ไปแล้ว

ปัจจุบัน Otteri มีสาขาอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 1,000 สาขา และอีก 1 สาขา ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งในอนาคตตั้งใจจะขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น ส่วนในประเทศไทยก็มีแผนจะขยายสาขาให้ Otteri ไปอยู่ในระดับอำเภอหรือตำบล เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ซักผ้าสะดวกและง่ายดายมากขึ้น

แนวคิดการทำธุรกิจของพี่คิม ไม่ใช่แค่การหากำไรจากการทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตคนให้ดีขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนสังคม โดย Otteri ได้ทำโครง CSR (Corporate Social Resposibility) เป็นการทำธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยไม่แสวงหาผลกำไรร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา ด้วยการนำรถเคลื่อนที่ติดตั้งเครื่องซักผ้า อบผ้า และห้องอาบน้ำ ขับตระเวนช่วยเหลือกลุ่มคนไร้บ้านในประเทศไทย รวมถึงสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับผู้สูงอายุ และผู้พ้นโทษที่ต้องการทำงานเก็บเงิน เพื่อเลี้ยงดูปากท้องของตัวเองอีกด้วย

สิ่งที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน

เชื่อว่าหลายคนคงมีเรื่องที่อยากจะย้อนกลับไปแก้ไข หรือกลับไปบอกตัวเองในวัยเด็ก แต่สำหรับพี่คิมแล้วคงไม่มีอะไรจะบอกตัวเองในวัยนั้นเลย เพราะที่ผ่านมาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปเสียจนอยากกลับไปแก้ไข และรู้สึกพอใจกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาแล้ว เพราะตัวเองในอดีตเป็นคนที่สร้างตัวเองในปัจจุบัน และถึงแม้ว่าต่อให้โตขึ้นมาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร แค่หวังให้ตัวเองในวัยนั้นได้เป็นตัวของตัวเองอย่างมีความสุขก็พอ

ฝากถึงน้องๆ ชาว Dek-D.com

ถ้าในมุมของน้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่ และยังไม่รู้จุดหมายปลายทางของตัวเองว่าอยากจะทำอะไรในอนาคต สิ่งหนึ่งที่พี่คิมใช้แล้วเป็นผลดีสำหรับตัวเองก็คือ ให้กลับมาดูว่าความสนใจขั้นพื้นฐานของตัวเองมีอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็ให้ลองลงมือทำ ต่อให้ความสนใจของเราจะมีเยอะก็ให้ลองทำไปก่อน แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องตัดตัวเลือกให้เร็ว อย่าฝืนทำอะไรที่เรารู้สึกว่าไม่ชอบหรือไม่ใช่ตัวเอง และก่อนที่จะตัดสินใจว่าสิ่งนั้นใช่หรือไม่ใช่ก็ควรที่จะอดทน และตั้งใจทำให้เต็มที่ที่สุดก่อน ไม่ควรด่วนตัดสินว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พยายามเลยสักครั้ง

พี่คิม - กวิน นิทัศนจารุกุล เจ้าของแบรนด์ Otteri
พี่คิม - กวิน นิทัศนจารุกุล เจ้าของแบรนด์ Otteri

เรื่องราวของพี่คิม ทำให้ได้เรียนรู้ว่า บนเส้นทางของความสำเร็จ มักจะมีความล้มเหลวเป็นทางผ่านที่เราต้องเจออยู่เสมอ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ สิ่งสำคัญคือ เเทนที่จะปล่อยให้ความล้มเหลวมันทำให้เรารู้สึกไร้ค่า เราต้องเปลี่ยนมันให้เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราได้เรียนรู้ เพื่อเติบโต เเละก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น จนสามารถเดินทางไปสู่ความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ได้  

 

ทีมงานต้องขอขอบคุณ  พี่คิม กวิน นิทัศนจารุกุล ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Otteri ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับทาง Dek-D.com รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ

 

พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น