เจาะเบื้องหลัง! 'พี่สา RAVIPA' จากเด็กบัญชีปี 3 แอบพ่อแม่ทำแบรนด์ด้วยทุนหลักหมื่น สู่เจ้าของธุรกิจ 100 ล้าน

เจาะเบื้องหลัง! 'พี่สา RAVIPA' จากเด็กบัญชีปี 3 แอบพ่อแม่ทำแบรนด์ด้วยทุนหลักหมื่น สู่เจ้าของธุรกิจ 100 ล้าน

หากพูดถึงเครื่องประดับสายมูแบรนด์ไทยที่ครองใจคนรุ่นใหม่ เชื่อว่าน้องๆ ต้องนึกถึงแบรนด์ ‘RAVIPA’ กันอย่างแน่นอน ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ ‘พี่สา - ธนิสา วีระศักดิ์ศรี’ ที่เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปี 3 โดยที่ตอนนั้นครอบครัวไม่เห็นด้วย ในวันนี้ คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาบอกเล่าชีวิตในวัยเรียน รวมถึงที่มาที่ไปของแบรนด์กว่าจะเติบโตได้อย่างทุกวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

เจาะเบื้องหลัง! 'พี่สา RAVIPA' จากเด็กบัญชีปี 3 แอบพ่อแม่ทำแบรนด์ด้วยทุนหลักหมื่น สู่เจ้าของธุรกิจ 100 ล้าน
เจาะเบื้องหลัง! 'พี่สา RAVIPA' จากเด็กบัญชีปี 3 แอบพ่อแม่ทำแบรนด์ด้วยทุนหลักหมื่น สู่เจ้าของธุรกิจ 100 ล้าน

ย้อนกลับไปสมัยยังเป็นวัยเรียน

ตั้งแต่อนุบาล จนถึง ม.6 พี่สาเรียนอยู่ที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย วัยเรียนของพี่สาเป็นเด็กคนหนึ่งที่ชื่นชอบการทำกิจกรรม และมีความสนใจด้านการขายของเป็นพิเศษ เวลาโรงเรียนจัดงานแฟร์ให้นักเรียนนำของมาขาย พี่สาก็จะรับบทเป็นแม่ค้าอยู่เสมอ ทั้งยังมีความฝันลึกๆ ว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะเห็นคุณพ่อทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่ชอบขายของและชอบตัวเลข หลังจากเรียนจบ ม.6 พี่สาตัดสินใจเรียนต่อคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาคอินเตอร์ (BBA) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าเป็นคณะที่ตัวเองเรียนไหว และน่าจะสามารถนำไปต่อยอดได้จริงในอนาคต

สำหรับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาคอินเตอร์ (BBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหลักสูตรที่ได้เรียนเกี่ยวกับการบัญชีระหว่างประเทศ การพัฒนาการค้าและวัฒนธรรมที่หลากหลาย การวิเคราะห์การเงินสำหรับการจัดการธุรกิจที่ทันสมัย ไปจนถึงการจัดการแบรนด์และการตลาดในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี และเริ่มทำแบรนด์ไปได้สักระยะหนึ่ง พี่สาก็ตัดสินใจเรียนต่อโครงการปริญญาโททางการตลาด (MIM) ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดและปรับใช้กับการทำธุรกิจ โดยโครงการนี้จะได้เรียนเกี่ยวกับด้านการบริหารธุรกิจและเจาะลึกเรื่องการตลาดเพิ่มขึ้น และได้สัมผัสกับกระบวนการสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการนำเสนอธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ

จุดเริ่มต้นและที่มาของแบรนด์ RAVIPA

แม้จะเติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจ แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัวก็ไม่ได้สนับสนุนให้พี่สาทำธุรกิจเท่าไหร่นัก เนื่องจากการทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย และอยากให้พี่สาโฟกัสเรื่องการเรียนเป็นหลัก เพราะกลัวว่าถ้าทำธุรกิจไปด้วย เรียนไปด้วย จะทำให้เรียนไม่จบ แต่ด้วยความที่ชอบขายของเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับอยากพิสูจน์ให้ครอบครัวเห็นว่า ถึงจะเป็นผู้หญิงแต่ก็สามารถทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ จึงตัดสินใจทำแบรนด์ตั้งแต่ปี 3 ด้วยวัยเพียง 19 ปี และใช้เงินเก็บของตัวเองที่มีอยู่ 10,000 บาท เริ่มต้นธุรกิจในปี 2555

แรงบันดาลใจที่ทำให้พี่สาทำธุรกิจเครื่องประดับ แบรนด์ RAVIPA เริ่มมาจากพี่สาว (คุณภา - ระวิภา วีระศักดิ์ศรี) เรียนจบหลักสูตรช่างทำเครื่องประดับจาก Revere Academy Jewelry of Arts ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับรางวัลด้านการออกแบบมาอย่างมากมาย ทั้งยังเคยเป็นดีไซเนอร์ให้แบรนด์เครื่องประดับของชาวต่างชาติ ด้วยความที่มองเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในฝีมือของพี่สาว จึงตัดสินใจสร้างแบรนด์เครื่องประดับของตัวเองขึ้นมา โดยใช้ชื่อพี่สาวเป็นชื่อแบรนด์ และให้พี่สาวดูแลในส่วนของการออกแบบเครื่องประดับ ส่วนตัวเองจะดูแลในเรื่องการตลาด เทรนด์แฟชั่น และการประชาสัมพันธ์แบรนด์ โดยใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน

แหวนคู่   Infinity คอลเลกชันแรกของแบรนด์ RAVIPA
แหวนคู่   Infinity คอลเลกชันแรกของแบรนด์ RAVIPA

สำหรับคอลเลกชันแรกที่แจ้งเกิดให้กับแบรนด์ คือ แหวนคู่ Infinity ที่เกิดจากความสงสัยของพี่สาว่า ทำไมแหวนคู่แทนใจต้องมีเฉพาะวันแต่งงาน พอสำรวจตลาดแล้วก็พบว่า ยังไม่มีแหวนคู่ สำหรับคนที่เป็นแฟนกันมากเท่าไหร่ จึงเริ่มออกแบบคอลเลกชันแหวนคู่ Infinity โดยเน้นจับกลุ่มคู่รักวัยรุ่น วัยทำงาน พร้อมเปิดตัวช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งผลตอบรับที่ได้นั้นดีเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้มาก เพราะสามารถสร้างยอดขายได้อย่างถล่มทลาย จนทำให้พี่สาสามารถพาเเบรนด์ RAVIPA เข้าร่วมการแข่งขันเรียลลิตี้โชว์ในรายการ VOGUE Who’s On Next, The VOGUE Fashion Fund ในปี 2557 ซึ่งพี่สาถือว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุด ที่ได้เข้ารอบ Top 10 Finalist อีกด้วย

โดยช่องทางหลักในการขายตอนนั้น จะเน้นการขายออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งหากย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว RAVIPA นับว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ที่บุกเบิกการขายของออนไลน์ใน Facebook และ Instagram เลยก็ว่าได้ นอกจากจะขายออนไลน์แล้ว ยังมีการออกบูธตามงานแฟร์ต่างๆ ร่วมด้วย เมื่อแบรนด์เติบโตขึ้นก็เริ่มเปิดหน้าร้านแบบจริงจัง และขยายสาขาขายบนห้างสรรพสินค้าเพิ่มอีกด้วย

เปลี่ยนสินค้าฟุ่มเฟือย ให้กลายเป็นของจำเป็น

หลังจากคอลเลกชันแรก RAVIPA ก็ต่อยอดมาสู่เครื่องประดับอื่นๆ อีกหลายคอลเลกชัน จนมาถึงอีกหนึ่งคอลเลกชันที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งให้กับแบรนด์ นั่นคือ คอลเลกชัน ‘RAVIPA Reminder’ ที่ปลุกกระแสสร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์ที่สายมูเตลูใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยคอลเลกชันนี้พี่สาลงมือออกแบบเองเป็นครั้งแรก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Pain Point ของตัวเองที่บางครั้งต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ไม่อยากใส่สร้อยพระ เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเป็นสายมู หรือใส่แล้วทำให้มิกซ์แอนด์แมตช์กับการแต่งตัวยาก จึงเกิดไอเดียอยากทำเครื่องประดับดีไซน์สวยๆ ที่สามารถเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจได้ขึ้นมา โดยมีคอนเซปต์ที่ว่า ‘มูยังไงให้คนไม่รู้ว่ามู’  

ในตอนแรกตั้งใจจะทำคอลเลกชันนี้ออกมาเป็นรุ่น Limited Edition และขายในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะไม่อยากให้ลูกค้ารู้สึกว่า RAVIPA เป็นแบรนด์เครื่องประดับสายมู แต่ช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ลูกค้าที่เคยซื้อสร้อยข้อมือรุ่นนี้ไปกลับมาบอกว่าอยากให้กลับมาทำอีกครั้ง สุดท้ายก็ทนกระแสเรียกร้องของลูกค้าไม่ไหว จึงตัดสินใจปรับปรุงและเพิ่มเติมสัญลักษณ์มงคลจากองค์เทพต่างๆ เพิ่มเข้าไป ผลปรากฏว่ากระแสตอบรับจากลูกค้าดีมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับวิกฤตหลายคนต้องการที่พึ่งทางจิตใจ ทำให้สร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่กลายเป็นของจำเป็นแทน  

เหล่าคนดังที่ใส่สร้อยข้อมือ RAVIPA
เหล่าคนดังที่ใส่สร้อยข้อมือ RAVIPA

พี่สาเล่าว่า ความนิยมที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้าที่ซื้อไปใส่แล้วเห็นผลจริง กลับมาซื้อซ้ำ และเกิดการบอกต่อปากต่อปากให้คนรอบตัวรู้จักไปเรื่อยๆ เป็นวงกว้าง ประกอบกับมีศิลปิน นักแสดง บล็อกเกอร์ เช่น ลิซ่า BLACKPINK, มินนี่ (G)I-DLE, มาร์ค ต้วน, แบมแบม กันต์พิมุกต์, ยอร์ช ยงศิลป์ ฯลฯ ใส่ติดตัวและเห็นผล ช่วยรีวิวจึงทำให้แบรนด์ยิ่งเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น และที่น่าภาคภูมิใจที่สุดก็คือ คอลเลกชันนี้ทำให้แบรนด์ RAVIPA ได้รางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมระดับประเทศ Design Excellence Award 2019 (DEmark Award) ซึ่งเป็นรางวัลที่พี่สาใฝ่ฝันอยากจะได้มาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำแบรนด์ และในปี 2564 ที่ผ่านมาก็ทำให้แบรนด์กวาดรายได้ไปถึง 100 ล้านบาทเลยทีเดียว

กุญแจสำคัญที่ทำให้ RAVIPA ครองใจลูกค้า

หนึ่งในจุดแข็งและกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ RAVIPA เป็นที่จดจำและครองใจลูกค้า คือ ความจริงใจต่อลูกค้าที่เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่ออกแบบเครื่องประดับ ไปจนถึงการแนะนำสินค้าให้ลูกค้าอย่างจริงใจ การขายของแพงที่สุดไม่ใช่นโยบายของแบรนด์ แต่ว่าต้องเป็นของที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุดเท่านั้น รวมไปถึงดีไซน์ของแบรนด์ที่สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ใส่ถ่ายรูป แต่ยังมีคุณค่าทางจิตใจที่สามารถซื้อเป็นของขวัญให้กับคนพิเศษได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้คือคุณภาพของวัสดุที่เลือกใช้แต่ของคุณภาพดีเกรดส่งออกนอกประเทศ  

แบรนด์ RAVIPA อาศัยการพูดคุยกับลูกค้าเป็นประจำ เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้น
แบรนด์ RAVIPA อาศัยการพูดคุยกับลูกค้าเป็นประจำ เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้น

ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำแบรนด์ RAVIPA พี่สาจะชอบพูดคุยกับลูกค้าอยู่เสมอ ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่พี่สาได้นำความรู้จากที่เรียนมาประยุกต์ใช้ คือ เรื่อง Consumer behavior เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ ดังนั้น การศึกษาพฤติกรรมและพูดคุยกับลูกค้าเป็นประจำจะทำให้สามารถสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้น ที่สำคัญจะช่วยในการพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าอีกด้วย  

นอกจากนี้ การก้าวเข้าสู่ตลาดต่างประเทศด้วยความรู้ที่เรียนจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมา ภาคอินเตอร์ (BBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ทำให้พี่สาพอจะรู้วิธีว่าต้องทำอย่างไรให้ก้าวไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ ตลอดจนทำให้รู้ว่ารสนิยมประเทศไหนเหมาะกับงานออกแบบของแบรนด์ก็เน้นเจาะไปที่ตลาดของประเทศนั้น และถึงแม้ว่าจะต้องออกแบบคอลเลกชันใหม่ๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือยังคงยึดหลักการของแบรนด์ RAVIPA คือ เครื่องประดับที่สามารถใส่ได้ทุกวัน  

จากธุรกิจที่แอบครอบครัวทำ สู่ Global Brand

ปัจจุบันแบรนด์ RAVIPA เดินทางมาถึงปีที่ 10 แล้ว จากวันแรกที่เริ่มต้นมาจากแบรนด์เล็กๆ ที่แอบครอบครัวทำ เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเอง ในวันนี้พี่สาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้หญิงก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ และประสบความสำเร็จได้จริง จากเงินทุนเริ่มต้นเพียง 10,000 บาท ในวันนั้น ทำให้แบรนด์ RAVIPA กลายเป็นแบรนด์จิวเวลรีสัญชาติไทยแบรนด์แรกที่ได้ออกแบบคอลเลกชันพิเศษ ร่วมกับ The Walt Disney Company และยังเป็นแบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียว ที่ได้วางขายสินค้าใน Disney Store ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งนับว่าเป็นการก้าวขึ้นมามีบทบาท ในฐานะแบรนด์ในระดับ Global และเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลกมากขึ้น

RAVIPA แบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียว ที่ได้วางขายสินค้าใน Disney Store ประเทศเกาหลีใต้
RAVIPA แบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียว ที่ได้วางขายสินค้าใน Disney Store ประเทศเกาหลีใต้ 

ปัจจุบัน RAVIPA มีหน้าร้านทั้งหมด 30 สาขา ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา อุดรธานี หาดใหญ่ ฯลฯ รวมถึงในต่างประเทศ เช่น นิวยอร์ก ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน ซึ่งในอนาคตก็เตรียมที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ประกอบกับพัฒนาสินค้าในคอลเลกชันใหม่ๆ ออกมา เพื่อสร้างตื่นตาตื่นใจให้กับตลาดเครื่องประดับในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่อยากย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน

ด้วยความที่เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปี 3 การแบ่งเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าแบ่งเวลาไม่เป็น ทั้งการเรียนและธุรกิจอาจพังได้ พี่สาเล่าว่า ช่วงแรกที่เริ่มทำเป็นช่วงที่เหนื่อยมาก เพราะต้องเรียนและทำธุรกิจควบคู่กันไปด้วย หลังเลิกเรียนต้องไปออกบูธขายของจนดึก จึงไม่ค่อยมีเวลาในการทบทวนหนังสือมากนัก พี่สาจะพยายามตั้งใจเรียนในห้องให้มากที่สุด จดโน้ตเนื้อหาสำคัญที่คิดว่าน่าจะออกสอบเอาไว้ เมื่อใกล้สอบจะนำกลับมาทบทวนด้วยตัวเองอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่พี่สาอยากย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน นั่นก็คือ ไม่ว่าจะเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรที่ผ่านเข้ามา ขอให้อดทนและกัดฟันสู้จนมันผ่านพ้นไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วถ้ายังไม่ยอมแพ้ไปก่อน สักวันหนึ่งก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน

ฝากถึงน้องๆ ชาว Dek-D.com

ปัจจุบันนี้มีแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ลองค้นหาตัวเองอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น อินเทอร์เน็ต กิจกรรมเวิร์คช้อป คอร์สอบรม ฯลฯ  ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุกคนค้นพบตัวเองคือ ต้องลองลงมือทำ ลองให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะลองได้ เพราะถ้าไม่เคยลอง เราก็จะไม่มีทางรู้ว่าสิ่งนี้ใช่หรือไม่ใช่ อย่าปิดกั้นตัวเองไม่ให้ลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะเราอาจจะเสียโอกาสดีๆ ในชีวิตไป ทั้งนี้ พยายามอย่ากดดันตัวเองจนเกินไป ค่อยๆ เรียนรู้และสังเกตว่าตัวเองว่าสิ่งไหนเหมาะกับเรามากที่สุด ถ้ามีหลายอย่างที่รู้สึกชอบให้ลองลิสต์เป็นข้อๆ เอาไว้ หลังจากนั้นก็มานั่งถามตัวเองว่าข้อไหน เป็นสิ่งที่เราทำแล้วชอบและมีความสุขมากที่สุด เมื่อเจอสิ่งที่รู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่เราต้องการแล้วก็อย่าลืมที่จะฝึกฝน และพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้นกว่าเดิม  

 พี่สา - ธนิสา วีระศักดิ์ศรี  เจ้าของแบรนด์  RAVIPA
 พี่สา - ธนิสา วีระศักดิ์ศรี  เจ้าของแบรนด์  RAVIPA

จากที่ได้พูดคุยกับพี่สา ทำให้ได้เรียนรู้ว่า การประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ นอกจากจะอาศัยสติปัญญาเป็นตัวชี้นำแล้ว ความมานะอดทนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่สำคัญ เราทุกคนต่างรู้ดีว่าความสำเร็จไม่มีทางลัด หากอยากได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการก็ต้องแลกด้วยความทุ่มเท และความมุ่งมั่นตั้งใจ ประกอบกับคิดแสวงหาโอกาสจากปัญหา และพัฒนาให้เกิดประโยชน์ที่สามารถต่อยอดไปสู่ความสำเร็จได้

ทีมงานต้องขอขอบคุณ พี่สา ธนิสา วีระศักดิ์ศรี ผู้ก่อตั้งแบรนด์ RAVIPA ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับทาง Dek-D.com รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ

 

พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด