เกษตรกรเลี้ยงวัวหันมาแต่งนิยายออนไลน์ เลี้ยงดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า! | The Chosen EP. 44 รอรัก

เกษตรกรเลี้ยงวัวหันมาแต่งนิยายออนไลน์ 
เลี้ยงดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า! 

The Chosen EP. 44 รอรัก

 

“รายได้จากการเขียนนิยายทำให้เราสามารถเลี้ยงดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าได้ค่ะ เราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก และตายาย เราไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินให้ลูกไปโรงเรียนไหม หรือเวลาไปหาหมอก็ไม่ต้องกังวลค่ารถ ค่ากินค่าอยู่ ถือว่าเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นมากค่ะ”

นี่คือเรื่องราวของ “รอรัก” นักเขียนสาวบ้านทุ่งวัย 39 ปี จากจังหวัดศรีสะเกษที่ทำเกษตรกรรม ปลูกข้าว เลี้ยงวัวมาตลอดชีวิต กระทั่งช่วงโควิดที่ผ่านมาทำให้ชีวิตของเธอต้องพลิกผัน ครอบครัวไม่มีเงินไม่มีรายได้ พอจะออกไปหางานทำก็ห่วงพ่อแม่ที่กำลังแก่เฒ่า ในช่วงที่กำลังมืดแปดด้านอยู่นั้น เธอเลยลองมองหางานที่สามารถทำตอนอยู่ที่บ้านได้ และการเขียนนิยายออนไลน์ก็กลายเป็นแสงสว่างสุดท้ายที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

รอรัก เล่าว่า เธอเริ่มเขียนนิยายเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเธอชอบอ่านอยู่แล้ว และเคยเห็นว่าการเขียนนิยายสามารถสร้างรายได้ได้จริง พอเจอวิกฤตโควิด เธอเลยนึกถึงการเขียนนิยายออนไลน์เป็นอย่างแรก คิดว่าลองทำดู ไม่เสียหายอะไร นับตั้งแต่นั้นมา เธอจึงเริ่มเขียนนิยายในนามปากกา “รอรัก” จนปัจจุบันมีผลงานนิยายมาแล้วกว่า 13 เรื่อง อาทิ ลั่วเซ่าซีสตรีผู้ทรนง, ซวยจริงๆ ข้ามีสามีตาบอด, ฮูหยินส้มหล่น และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย 

ทว่าเส้นทางนักเขียนของเธอก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป นิยายของรอรัก มีทั้งเรื่องที่ปังและพังตลอดเส้นทางการเป็นนักเขียน แต่เธอก็ไม่เคยท้อ หรือหนีหายไปไหน พยายามแต่งต่อจนจบ เพราะนอกจากต้องการหารายได้จากการเขียนนิยายแล้ว การเป็นนักเขียนก็เป็นอีกหนึ่งความฝันในวัยเด็กของเธอด้วย กระทั่งนิยายเรื่อง “ลั่วเซ่าซีสตรีผู้ทรนง” ขึ้นไปติดท็อปนิยายเด็กดี และมีรายได้จนสามารถนำมาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้ นิยายเรื่องนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจเขียนนิยายออนไลน์เป็นอาชีพ 

มาตามดูเส้นทางนักเขียนที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจดีๆ จากเกษตรกรเลี้ยงวัวสู่นักเขียนนิยายออนไลน์กัน!  

นักเขียนสาวบ้านทุ่ง นามปากกา "รอรัก"
นักเขียนสาวบ้านทุ่ง นามปากกา "รอรัก"

เขียนนิยายออนไลน์ตอบโจทย์ที่สุด
เพราะอยากดูแลพ่อแม่ที่แก่ชรา 

ตอนนี้เขียนนิยายมาสองปีแล้วค่ะ นอกจากเขียนนิยาย “รอรัก” ก็เป็นเกษตรกร เป็นชาวนาเลี้ยงวัวค่ะ งานอดิเรกในช่วงเวลาว่างจากการทำงานก็คือ การอ่านนิยายค่ะ  

ต้องบอกก่อนว่า ปกติเราชอบอ่านนิยายมากค่ะ เรามีความฝันอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ด้วยโอกาสและยุคสมัยไม่เอื้ออำอวยความสะดวกเท่าทุกวันนี้ ทำให้เราเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นๆ มาก แต่ก่อนก็ไปซื้อหนังสือเป็นเล่มมาอ่าน แต่พอมาอยู่บ้านนอกก็ไม่มีร้านหนังสือเลย แล้วเราก็ไม่ค่อยได้เข้าตัวเมืองด้วย จนเรามาหัดเล่นโซเซียลก็เลยได้เริ่มอ่านนิยายบนเว็บเด็กดีค่ะ ตามอ่านตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีติดเหรียญจนกระทั่งตอนนี้ 

จุดพลิกผันที่ทำให้มาเขียนนิยาย คือ ช่วงโควิด 19 ค่ะ แฟนเราตกงาน ไม่มีเงินไม่มีรายได้ ทำให้เราไร้ที่พึ่งไปด้วย ตอนนั้นเราอาศัยอยู่ต่างจังหวัดเพื่อดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราและไร้งานทำ เราเลยเริ่มมองหาสิ่งที่ทำเงินให้เราได้ โดยที่เราไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เพราะหน้าที่หลักของเราคือต้องดูแลพ่อแม่ ตอนนั้นเราก็เลยนึกไปถึงการเขียนนิยายค่ะ เพราะเคยเห็นมีคนโพสต์ว่าเขียนนิยายหารายได้ได้

ตอนนั้นมืดแปดด้านไปหมด เราไม่มีรายได้เลย เราเลยคิดว่าจะลองแต่งนิยายดู ไม่มั่นใจเลยค่ะว่าจะขายได้ไหม แต่อยากลองดูค่ะ คิดว่า ‘เอาวะ ลองดูไม่เสียหายอะไร ถ้าเขาจะดูดเงินในบัญชีเรา ก็ไม่มีเงินให้ดูดหรอก เพราะบัญชีไม่มีเงิน’ ตอนแรกคิดแบบนี้เลยค่ะ (หัวเราะ) 

จนถึงตอนนี้เราคิดว่า เราคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจลงมือทำในตอนนั้น เรื่องแรกที่เขียนก็ขายเลยค่ะ ถึงไม่มีคนซื้อเราก็ทำใจเอาไว้แล้ว แต่โชคดีมากที่มีคนมาซื้อ จำได้ว่าดีใจมาก นี่คือเงินที่เกิดจากงานที่เราชอบ เราไม่ได้คาดหวังมากแต่มันก็ไม่ทำให้เราผิดหวังค่ะ

นิยายเรื่องแรกที่เขียนจบ
นิยายเรื่องแรกที่เขียนจบ

เขียนนิยายเรื่องแรกก็เจ็บหนักเลย 
แต่ไม่ท้อ เพราะ…

นิยายเรื่อง “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านเลิกเป็นคนดีเถอะ” เป็นนิยายเรื่องแรกที่เราเขียนจนจบบนเว็บเด็กดีเลยค่ะ ตอนนั้นคอมเมนต์สนั่นหวั่นไหวมีแต่คอมเมนต์ด้านลบทั้งนั้น ไม่แน่ใจว่าผู้อ่านอินกับบทนิยายหรือโกรธคนเขียน ตอนแรกยอมรับว่าจิตตก จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น บางคนบอกไม่น่ามาขายเลยเสียดายเงิน ก็เสียใจนิดๆ นะว่างานเราไม่ดีเหรอ เขาถึงเมนต์อย่างนี้มา บางทีก็บอกไม่อ่านแล้วนะไม่สนุก เราก็ได้แต่พยายามคิดว่างานของเรามันก็ต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ… 

ก็อดทนนะ พยายามเขียนจนจบ เพราะก็มีนักอ่านส่วนหนึ่งที่เขาชอบและคอยให้กำลังใจ เมนต์น่ารักๆ ก็เยอะ ผู้อ่านที่เขาไม่บ่นไม่ต่อว่าก็มีเช่นกัน โดเนทที่นักอ่านให้มา หรือแม้แต่ยอดวิวที่ขึ้นเงียบๆ ก็ทำให้เรามีกำลังใจในการมองข้ามคอมเมนต์แย่ๆ ได้ค่ะ ทำให้เรารู้สึกว่าต้องเข้มแข็งทำให้มันจบให้ได้ สุดท้าย ผู้อ่านทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งในแรงผลักดันที่ทำให้เราก้าวมาเป็นนักเขียนจนถึงทุกวันนี้ค่ะ 

จุดเปลี่ยนชีวิต คือ นิยายเรื่อง “ลั่วเซ่าซีสตรีผู้ทรนง”
จุดเปลี่ยนชีวิต คือ นิยายเรื่อง “ลั่วเซ่าซีสตรีผู้ทรนง” 

มีนิยายพังก็ต้องมีนิยายปัง
ยิ่งเขียนเยอะ ยิ่งมีประสบการณ์ 

ตอนเขียนนิยาย อยู่ๆ ไอเดียก็ผุดขึ้นมาเองค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเกิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน มาจากการที่เราเป็นคนอ่านนิยายมาเยอะ เพราะเราชอบแนวที่ตัวเอกลำบากนิดๆ ไม่ชอบอะไรที่แมรี่ซูค่ะ ช่วงนั้นก็จะหาอ่านยากมากเลยตัดสินใจแต่งนิยายอ่านเองเสียเลย

อย่างนิยายเรื่อง “ลั่วเซ่าซีสตรีผู้ทรนง” ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยค่ะ ไอเดียแทบไม่มีเลยค่ะ แต่ว่าอยู่ๆ ก็มีจินตนาการผุดขึ้นมาในหัว เพราะเด็กละแวกบ้านและไก่ที่ตัวเองเลี้ยง ไม่ได้วางแพลนในการเขียนเลย แค่ปล่อยไปตามอารมณ์และก็มีด้นสดบ้างบางครั้งค่ะ 

นิยายเรื่องนี้ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น และเป็นเรื่องที่เราคิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เพราะผู้อ่านทุกคนให้กระแสตอบรับที่ดีมากๆ เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้มากค่ะ แล้วมันก็สร้างรายได้ให้เราได้จนเราอยากเขียนนิยายเป็นอาชีพ เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่มากๆ ค่ะ 

ช่วงที่นักเขียนนำวัวไปเลี้ยงนอกคอก
ช่วงที่นักเขียนนำวัวไปเลี้ยงนอกคอก 

จากเกษตรกรเลี้ยงวัว
สู่นักเขียนนิยายออนไลน์

ช่วงนั้นไร้ทางออกจริงๆ ค่ะ เห็นแสงสว่างแค่ทางนี้เลย จะทิ้งพ่อแม่ไปหางานทำก็ไม่ได้ แต่เราก็ไม่มีรายได้เลย เลยลองติดเหรียญดู คาดหวังแค่ว่ามีสักคนก็ยังดีค่ะ ไม่ได้วาดหวังไว้สูงนัก ปรากฏว่าขายได้จริงๆ ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมากค่ะ โชคดีมากๆ ที่มีคนซื้อนิยายเราอ่าน เราได้รับฟีดแบ็กที่ดีมากๆ ค่ะ และมันเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้เราอยากแต่งนิยายต่อไปเรื่อยๆ 

รายได้จากการเขียนนิยายทำให้เราสามารถเลี้ยงดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าได้ค่ะ ซื้อของใช้เข้าบ้านได้ แล้สเราก็ยังแบ่งปันบางส่วนไปทำบุญด้วยค่ะ เราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก และตายาย เราไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินให้ลูกไปโรงเรียนไหม หรือเวลาไปหาหมอก็ไม่ต้องกังวลค่ารถ ค่ากินค่าอยู่ ถือว่าเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นมากค่ะ 

ตอนนี้งานเขียนนิยายของเรา คืออาชีพหลักเลยค่ะ นอกจากเราจะชอบแล้ว ยังทำควบคู่กับงานอื่นได้ด้วย เราก็คิดว่าคงไม่มีปัญหาถ้าเราจะทำงานนี้ให้เป็นงานหลักไปเลย ถ้าไม่ได้เขียนนิยายเราก็ไม่รู้จะไปทำงานอะไรอีกแล้วค่ะ อยากขอบคุณนักอ่านและเว็บเด็กดีมากๆ ค่ะ ที่สร้างโอกาสและให้โอกาสเราได้เติมเต็มความฝันในวัยเด็ก ทำให้ฝันของเราเป็นจริงเสียที

ช่วงที่นักเขียนนำวัวไปเลี้ยงนอกคอก และไปเกี่ยวหญ้าให้วัวกินวันละสองรถเข็น
ช่วงที่นักเขียนนำวัวไปเลี้ยงนอกคอก และไปเกี่ยวหญ้าให้วัวกินวันละสองรถเข็น

เมื่องานเลี้ยงวัวก็ต้องทำ 
งานนิยายก็ยังต้องเขียน.. 

เราพยายามเขียนนิยายทุกวันค่ะ ในหนึ่งวันคือ เราจะตื่นตีสี่ทุกวัน ลุกขึ้นมานึ่งข้าวทำอาหารไปวัดก่อนเลยค่ะ หลังจากกลับมาจากวัดเราก็ไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน แล้วก็ไปนาเพื่อนำวัวออกมาเลี้ยงข้างนอกคอก จะได้ไม่ต้องอยู่แค่ในคอกวัว หลังจากนั้นเราก็ไปเกี่ยวหญ้าเอาไว้ให้วัววันละสองรถเข็น แต่ช่วงนี้ดีหน่อยเพราะว่าข้าวที่เราปลูกเอาไว้ใกล้จะโตแล้วอีกไม่นานก็ได้เกี่ยว 

ต้องเล่าก่อนว่า ช่วงก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งเดือนข้าวที่ปลูกตาย เราก็เลยต้องไปดำนาตรงที่มันตายใช้เวลาหลายวันเลยค่ะ ใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยเคมีเพื่อให้ได้รวงข้าวที่เต็มรวง ช่วงนี้ก็เลยทำเพียงแค่เกี่ยวหญ้าให้วัวเท่านั้น เกี่ยวหญ้าเสร็จเราก็กลับมาที่บ้านเพื่อเขียนนิยายต่อ 

ช่วงเที่ยงก็ไปเอาวัวกินน้ำเพราะเราไม่ได้เลี้ยงแบบปล่อย เพราะกลัวจะไปกินข้าวที่นาข้างๆของคนอื่น พอเอาวัวไปกินน้ำเสร็จ เราก็เอาวัวมาผูกไว้ที่เดิมแล้วก็กลับมานั่งเขียนนิยายต่อ 

ตอนเย็นหลังจากไปรับลูกที่โรงเรียนเสร็จก็ไปเอาวัวเข้าคอกแล้วกลับบ้านทำกับข้าวค่ะ กินข้าวเสร็จเราก็มานั่งทำงานจนถึงสองทุ่ม เป็นแบบนี้ทุกวันค่ะ แต่ก็มีบางครั้งที่ช่วงกลางวันจะไม่ได้เขียนเพราะมีธุระให้ต้องไปจัดการ ทั้งงานโรงเรียนของลูก ทั้งธุระอื่นๆ แต่ช่วงเวลาที่เขียนนิยายแน่ๆ คือช่วงเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งถึงสามทุ่มค่ะ เราตั้งใจจะเขียนนิยายทุกวัน พยายามทำให้ได้วันละตอนก็ยังดี เป้าหมายของเราตอนนี้คือหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ออกหนังสือเป็นเล่ม ได้รีเมคนิยายของเราเป็นละครบ้างค่ะ

อยากฝากถึงคนที่อยากจะเริ่มเขียนว่า ให้เขียนไปเลยค่ะ เขียนในสิ่งที่เราอยากเล่า เขียนในสิ่งที่เรามีความสุข และขอให้เรามีความสุขในสิ่งที่เราเขียน สิ่งนั้นจะไม่มีวันทำร้ายเราค่ะ และถ้าเราตันหรือเหนื่อยก็ให้เราพักก่อนนะคะ ไปเดินเล่นหาของกินอร่อยๆ ให้ชื่นใจแล้วเดี๋ยวเนื้อหามันจะขึ้นมาในหัวเราเองค่ะ 

เส้นทางนักเขียนที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของ “รอรัก” ทำให้เราได้เห็นแรงบันดาลใจดีๆ จากนักเขียนสาวบ้านทุ่งคนนี้มากมาย ทั้งการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และอุปสรรคที่ได้ประสบพบเจอบนเส้นทางแห่งนี้ 

รอรัก เริ่มต้นเขียนนิยายด้วยความฝันและความหวังเหมือนใครหลายๆ คน ที่อยากทำความฝันการเป็นนักเขียนในวัยเด็กให้สำเร็จ และอยากให้ความฝันนี้กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้จริง ดังนั้น ชีวิตในแต่ละวันของนักเขียนสาวคนนี้จึงไม่เคยหยุดนิ่ง พยายามหาเวลามาเขียนนิยายให้ได้ทุกวัน 

แม้ว่าแต่ละวันเธอจะมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย ทั้งการพาลูกไปส่งโรงเรียน พาวัวออกไปเลี้ยงนอกบ้าน หรือแม้แต่การเตรียมอาหารให้คนในครอบครัว  ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเขียนนิยายเลยแม้แต่น้อย เธอยังมุ่งมั่นเขียนนิยายทุกวัน จนตอนนี้การเขียนนิยายกลายเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเธอ และทำให้ความฝันที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวตลอดไป เป็นจริงขึ้นมาได้ด้วยความมุ่งมั่นของเธอ...

เชื่อว่าเรื่องราวแรงบันดาลใจดีๆ จากนักเขียนสาวบ้านทุ่งที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจดีๆ ให้นักเขียนเด็กดีได้นะคะ ^^

พี่แนนนี่เพน

เริ่มเขียนนิยาย

อ่านนิยายของ รอรัก

พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด