คนคุยก็มีหัวใจ! เปิดอกเคลียร์สถานะ “Open relationship” พร้อมแชร์ทริคคุยยังไงให้ได้คบ

สวัสดีค่ะ น้องๆ ชาว Dek-D.Com ทุกคน ถ้าอยู่ๆ คนคุยของเรามาบอกว่า “เธอคะ เรามาเป็น Open relationship กันเถอะ” น้องๆ อย่าพึ่งดีใจกันไปนะคะ เพราะเขาไม่ได้กำลังหมายความว่าจะเปิดตัวเราให้คนอื่นๆ ได้รู้จัก หรือพาไปหาญาติผู้ใหญ่แบบเปิดเผยไม่ปิดบังอย่างที่หลายๆ คนน่าจะกำลังจินตนาการถึงกันแต่อย่างใด ถ้าอย่างนั้น Open relationship ที่พูดถึง มันคืออะไร เราไปหาคำตอบพร้อมกันเลยค่ะ 

 Open relationship คืออะไร? 

ความหมายจริงๆ ของคำนี้ ค่อนข้างสุดโต่งพอสมควร เพราะคำว่า Open relationship หมายถึง ความสัมพันธ์ของคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้ง 2 ฝ่าย ยินยอมพร้อมใจที่จะเป็น “คนคุย ของกันและกัน โดยตราบใดที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันจริงจังทั้งคู่ก็ยังสามารถไปคุยหรือผูกพันทางอารมณ์กับคนอื่นๆ ได้ 

ซึ่งข้อมูลจากแอปฯ หาคู่ที่ชื่อว่า Okcupid ของสหรัฐอเมริกา พบว่าจากจำนวนผู้เล่นทั้งหมดในปี 2560 ผู้เล่นร้อยละ 31 มีแนวโน้มที่สนใจสานต่อความสัมพันธ์แบบ Open relationship ซึ่งคู่รักที่สนใจจะสานต่อความสัมพันธ์กันแบบ Open relationship ส่วนใหญ่ มีอายุเฉลี่ย 25-45 ปีมากที่สุดอีกด้วย

รูปภาพจาก : Freepik
รูปภาพจาก : Freepik

ถึงแม้ว่าหลายๆ คนอาจจะมองว่าความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ ค่อนข้างขัดกับวัฒนธรรมสามีเดียวภรรยาเดียวของไทย แต่สำหรับเด็กๆ รุ่นใหม่กลับมองว่าการมีคนคุยหลายคน ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายหรือผิดศีลธรรม ในทางกลับกันหลายคนคิดว่าความสัมพันธ์แบบ Open relationship เป็นความสัมพันธ์ที่ win-win ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะการที่เราไม่ได้ผูกมัดตัวเองเอาไว้กับคนๆ เดียว ทำให้หลายๆ คนได้ค้นหาความชอบของตัวเองมากขึ้น ยิ่งพอได้คุยกับหลายคน ก็จะยิ่งได้เจอคนหลายๆ แบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็อาจจะมีคนในแบบที่เราชอบสักคนหนึ่งก็ได้

แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์แบบ Open relationship ก็มีข้อเสียเช่นกัน ซึ่งหลักๆ ก็จะมาจาก

  • ความหึงหวงในคนคุยของตนเอง
  • ความรู้สึกแย่เมื่อคนคุยของเราสนใจคนอื่นมากกว่า
  • ความรู้สึกเสพติดทางเพศ
  • ความเสี่ยงในการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • การตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน

 เพราะฉะนั้นก่อนจะตกลงเป็น Open relationship กับใครก็ควรระวังเรื่องเหล่านี้เอาไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน

ทำยังไง? ถ้าเผลอหลงเข้าไปในสถานะนี้แล้ว?

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างขัดกับวัฒนธรรมคำสอนของคนไทยขนาดนี้ ก็คงไม่มีใครคนไหนกล้าออกมาป่าวประกาศกับเราหรอกว่าวันนี้เขาไปคุย ไปเดท ไปดูหนัง หรือไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครที่ไหนมาบ้าง ก็คงจะมีแต่เราที่รู้เองทีหลัง และปัญหาต่างๆ ก็เริ่มมาจากตรงนี้นี่แหละค่ะ

เพราะเมื่อรู้แล้ว หลายๆ คนมักจะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง ควรทำอะไร ควรไปต่อ หรือพอแค่นี้ ความสับสนปนกับความเสียใจทำให้ถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่ลืมไปด้วยซ้ำว่ามีวิธีการที่ดีกว่าในการแก้ปัญหา และยังสามารถทำให้ความสัมพันธ์นี้ดำเนินต่อไปได้

รูปภาพจาก : Freepik
รูปภาพจาก : Freepik

ซึ่งอย่างแรกที่เราควรทำก่อนเลย ก็คือเราต้องถามตัวเองก่อน ว่าเรากล้าหาญพอที่จะปล่อยให้เขาหายไปจากชีวิตเราไหม? ถ้าเราตัดสินใจแล้วว่าเราสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีกันก็ควรถอยออกมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่พี่เมลจะไม่บังคับให้ทุกคนตัดสินใจจบความสัมพันธ์เอาไว้ที่ตรงนี้หรอกนะคะ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ เช่น บางคู่ที่อยู่กันมานานมากๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของกันและกันไปแล้ว อยู่ดีๆ จะให้มาตัดความสัมพันธ์กันตอนนี้ ตรงนี้เลยก็คงยาก เพราะฉะนั้น ต้องถามตัวเองให้ถี่ถ้วนว่า เรารักเขาหรือต้องการเขาจริงๆ หรือเปล่า 

เมื่อได้คำตอบแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่เราต้องทำก็คือ ตั้งสติ เพราะการใช้อารมณ์จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสติได้แล้ว ก็ควรเดินออกมาก่อนแล้วค่อยคุยกับอีกฝ่ายทีหลัง ว่าสรุปแล้ว เราทั้งคู่ยังต้องการกันอยู่มั้ย, เขาสามารถเลิกมีคนอื่นได้มั้ย และคำถามที่สำคัญ คือ จะเอายังไงกันต่อไป

จะไปต่อในความสัมพันธ์ Open relationship ยังไง?

ถึงแม้ว่าดูยังไงความสัมพันธ์แบบ Open relationship ก็เหมือนจะยิ่งยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงอย่างสันติได้ แต่ถึงอย่างนั้นการสานต่อความสัมพันธ์ในรูปแบบ Open relationship ก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ ถ้าเรารู้วิธีที่จะทำให้เขากลับมาสนใจเรา ซึ่งสามารถทำได้โดย

1.เปิดใจ 

การเปิดใจในที่นี้ พี่เมลไม่ได้หมายถึงว่า เราต้องกล้ำกลืนฝืนใจยอมรับทุกอย่างที่อีกฝ่ายต้องการนะคะ แต่เป็นการเปิดใจตกลงกันเพื่อหาจุดร่วมตรงกลางที่ทั้งคู่พอใจ และไม่มีใครเสียเปรียบมากกว่า ซึ่งเมื่อตกลงกันได้แล้วก็ไม่ควรละเมิด หรือเข้าไปห้ามไม่ให้อีกฝ่ายทำตามสิ่งที่เราตกลงกันไว้

 ซึ่งสิ่งที่ควรตกลงกันก่อนจะมีความสัมพันธ์แบบ Open relationship ได้แก่

  1. ขอบเขตทางเพศ : พูดคุยถึงการป้องกันโรคติดต่อทางเพศ และการคุมกำเนิด
  2. ขอบเขตทางอารมณ์  : พูดคุยถึงสิทธิในการหึงหวง และสิทธิในการตกหลุมรักผู้อื่น
  3. ขอบเขตส่วนบุคคล : พูดคุยถึงบุคคลที่สามารถมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์แบบ Open relationship  ได้
  4. ขอบเขตด้านเวลา  : พูดคุยถึงเรื่องวันและช่วงเวลาที่จะใช้กับผู้อื่น และใช้ร่วมกันระหว่างคู่ของตนเอง

2.ใส่ใจกัน

ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้มีแค่เราคนเดียวในความสัมพันธ์แบบ Open relationship แต่ถึงอย่างนั้นถ้าหากว่าเรายังอยากจะสานสัมพันธ์กับคนคุยของเราต่อ ความใส่ใจก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมนุษย์ทุกคนชอบถูกดูแลเอาใจใส่ เราอาจจะไม่ต้องทำอะไรให้เขามากมายก็ได้ แค่คอยถามว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้างก็พอ

รูปภาพจาก : Freepik
รูปภาพจาก : Freepik

3.พูดคุยอย่างสม่ำเสมอ

การชวนพูดคุยถึงประสบการณ์ที่ได้ไปทำมาหรือไปเจอมา ถือเป็นการแชร์เรื่องราวดีๆ ที่เรา และคู่ของเราชอบจากการไปทำความรู้จักคนอื่นหรือทำความรู้จักกันและกัน เช่น หนังที่ไปดูมา พฤติกรรมตอนเดตที่แต่ละคนชอบ เรื่องดีๆ ที่ไปเจอด้วยกันมา เป็นต้น ซึ่งจังหวะนี้แหละ เราจะต้องกอบโกยข้อมูลสิ่งที่อีกฝ่ายชอบมาให้ได้เยอะที่สุด แล้วดูว่ามีอะไรที่เราชอบเหมือนๆ กันบ้าง เมื่อเจอแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

4.อยู่ด้วยกันบ่อยๆ

บางทีการอยู่ร่วมกัน ทำสิ่งที่ชอบเหมือนกัน พูดคุย และพยายามทำความเข้าใจกันมากขึ้น อาจจะทำให้เราเข้าใจกันและไปต่อในความสัมพันธ์นี้ได้อย่างราบรื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่การกักตัวอีกฝ่ายเอาไว้ให้อยู่กับเราตลอดเวลา แต่ให้พยายามหาเวลาอยู่ด้วยกัน และถ้าอีกฝ่ายไม่สะดวกก็อย่าบังคับจะดีกว่า เพราะนอกจากอีกฝ่ายไม่อึดอัดแล้ว ก็ยังได้เว้นระยะห่างให้คิดถึงกันมากขึ้นด้วย

5.หยุดงี่เง่า

ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์ Open relationship หรือความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม ปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องจบลง ก็ยังคงมาจากความงี่เง่า หรือขี้หึงของทั้งคู่ ซึ่งพี่เมลเข้าใจนะคะว่าสัมพันธ์ที่ไม่ได้จบแค่ 2 คนอย่าง Open relationship แบบนี้ จะห้ามไม่ให้หึงเลยก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นเราอาจจะหึงได้ แต่อย่างี่เง่าให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนต้องทนกับความสัมพันธ์นี้ตลอดเวลาก็พอ

6.ลอง Check 

เพื่อให้แน่ใจในการดำเนินความสัมพันธ์ เราควรเช็กตัวเองและคนคุยของเราเสมอ ว่าทั้งคู่ยังเป็นคนสำคัญของกันและกันอยู่รึเปล่า ซึ่งวิธีการเช็กที่สามารถทำได้ก็ยกตัวอย่าง เช่น สังเกตว่าเขามองเราหรือคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เรามั้ย แต่อย่าใช้วิธีการเช็กเรตติ้งกับคนอื่นๆ ต่อหน้าให้เขาหึงนะคะ เพราะถ้าตกลงกันไว้แล้วว่าห้ามหึง เราก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสรุปแล้วเขาคิดยังไง และถ้าเขาหึงเราจริงๆ ก็อาจจะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท จนถึงขั้นต้องยุติความสัมพันธ์ไปเลยก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์แบบ Open relationship ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะสามารถยอมรับได้เหมือนๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ที่มีการปลูกฝังวัฒนธรรมให้คู่สามีภรรยารักเดียวใจเดียว ไม่นอกใจกันด้วยแล้ว การสานต่อความสัมพันธ์ในลักษณะ Open relationship ยิ่งมีแต่จะโดนโจมตีไปในแง่ลบ 

แต่ถึงอย่างนั้น พี่เมลก็ยังคิดว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสานต่อความสัมพันธ์ของคู่รัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า คนอื่นจะมองเราเป็นยังไง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองและคู่ครองของเรามากกว่า ว่ายอมรับในความสัมพันธ์นี้ได้หรือไม่ ถ้าเรารับได้ก็ไปกันต่อ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็อย่าฝืนที่จะไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่เราไม่ต้องการเลยจะดีกว่าค่ะ

 

แหล่งที่มา : https://www.verywellmind.com/what-is-an-open-relationship-4177930https://www.cnbc.com/2022/09/24/three-rules-for-a-successful-open-relationship.htmlhttps://www.bbc.com/worklife/article/20220725-the-rising-curiosity-behind-open-relationships
พี่เมล

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

มนต์ชัย ม. 28 มี.ค. 66 05:03 น. 1

"ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่ตัวเราอยู่แล้วฯ..เรียนรู้แลกเปลี่ยนเป็นผู้ให้กันและกันฯ..แค่นั้นเอง.."

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด