ติวเข้ม! กับ 30 เรื่องที่ต้องรู้ของ ‘LUSS’ ความดื้อ ซุกซน และไม่สมบูรณ์แบบ

รู้จักกับ LUSS ให้มากขึ้น เจ้าของซิงเกิล ‘TUTOR’

            สวัสดีครับ น้อง ๆ ชาว Dek-D.com วันนี้พี่เฟมมีโอกาสได้พูดคุยกับศิลปินวงดูโอ ปั้น - นลพรรณ อัมพุช และ เบน - ศิรสิทธิ์ ตั้งบุญดวงจิตต์ หรือที่ใครหลาย ๆ คนรู้จักกันในชื่อวง LUSS ครับ ซึ่งตอนนี้ LUSS เพิ่งปล่อย Single ล่าสุด TUTOR ออกมาให้หลาย ๆ คนได้ฟังกัน พี่เฟมก็เลยอยากพาน้อง ๆ ชาว Dek-D.com ทุกคนไปร่วมติวเข้ม! กับ 30 เรื่องที่ต้องรู้ของ LUSS กันครับ

1. ปั้นและเบน รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้ว รู้จักกันเพราะช่วงนั้นชอบดนตรีและเพลงแนวเดียวกัน แล้วแนวเพลงที่ชอบก็ดันไม่ค่อยมีคนอื่นฟังด้วย

2. สมัยเรียน ปั้นเป็นเด็กที่บ้าการเรียนขนาดที่เรียกได้ว่าเด็กเนิร์ดได้เลย เพราะกิจกรรมก็แทบจะไม่ได้ทำ เป็นสายวิชาการ อีกอย่างปั้นบอกว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ ที่เรียนเก่ง เลยไม่อยากแพ้เพื่อน แต่ว่าภายในใจก็มีอะไรบางอย่างที่เรียกร้องไปในสายดนตรีและกิจกรรมตลอด

3. ส่วนเบนก็เนิร์ดเหมือนกัน แต่ว่ามาเนิร์ดในสายดนตรี เพราะเป็นเรื่องเดียวที่เบนตั้งใจและทำมันได้ดีจริง ๆ ก็เลยต้องมุ่งมั่นกับดนตรีสุด ๆ

4. ปั้นบอกว่าในช่วงสมัยเรียนมัธยมไม่มีวิชาไหนที่ไม่ชอบหรือมองว่าวิชานั้นไม่น่าเรียนเลย แต่จะชอบวิชาภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ

5. ส่วนเบนบอกว่าวิชาที่มองว่ายากแต่พอโตมาก็ได้รู้ว่า มันค่อนข้างสำคัญ รู้ไว้ก็ดี ก็คือวิชาประวัติศาสตร์ดนตรี

6. ‘เป็นศิลปินแล้วจะหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร’ เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่คอยถามปั้น และเป็นความท้าทายที่ปั้นเคยต้องเจอมา ในตอนที่เริ่มเข้าสู่วงการดนตรีจริงจัง เพราะในตอนนั้นมีมุมมองเกี่ยวกับการประสบความสำเร็จที่แตกต่างกัน

7. เบนบอกว่าที่บ้านได้สนับสนุนในเรื่องของดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และรู้สึกโชคดีที่ได้เรียนในสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนต่อยอดมาเรียนในวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนเครื่องดนตรีเอกที่เล่นสมัยเรียนก็คือ เบส และในอนาคตเบนบอกว่าอยากลองเล่นอะไรที่เกี่ยวกับเครื่องเป่าดูบ้าง

8. ถึงในผลงาน Single ล่าสุด TUTOR จะพูดถึงการติด ร. แต่ปั้นบอกว่าไม่เคยติด ร. มาก่อนเลยในชีวิต แต่ว่าเคยสอบตกอยู่บ่อย ๆ ในวิชาคณิตศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเฟลอะไรเลย เพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เก่งทุกวิชา

9. ส่วนเบนบอกว่าจะสอบตกในแทบทุกวิชาที่ไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีเลย อย่าง คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ แล้วก็จะต้องมีการไปสอบซ่อมช่วงปิดเทอมตั้งแต่เด็ก ๆ ก็คือชัดเจนในตัวตนมาตั้งแต่เด็กเลยว่าชอบดนตรีจริง ๆ

10. ปั้นบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ระบบการศึกษาในประเทศไทยมีระบบการสอนแบบ Learning How To Learn มันจะช่วยย่นระยะเวลาในการเรียนของเราได้ อย่างการอ่านหนังสือเอง มันก็มีวิธีที่จะทำให้เราสามารถอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นอยู่เหมือนกัน เหมือนเป็นการเป็นวิธีการใช้สมองให้ถูกต้อง ถ้าสามารถนำการเรียนแบบนี้เข้ามาได้ มันก็น่าจะช่วยให้เด็กได้มีเวลาค้นหาตัวเองเพิ่มเหมือนกัน

11. เบนบอกว่าอยากให้สังคมให้คุณค่ากับงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องของจินตนาการ หากว่าเรามีพื้นที่อย่าง Museum เยอะ ๆ ในประเทศ มันก็เหมือนกับการที่เรามีพื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการอย่างไร้ขอบเขต และเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถทำให้น้อง ๆ ค้นพบตัวตนได้เร็วขึ้น

12. ถ้าถามว่าชอบทำเพลงให้คนอื่นหรือชอบทำให้วงตัวเองมากกว่า เบนบอกว่าชอบทำให้วงตัวเองมากกว่าเพราะมันสามารถใช้จินตนาการของตัวเองได้เต็มที่มากที่สุด ไม่ต้องอยู่ในกรอบหรือกฎเกณฑ์อะไรมากนัก

13. ส่วนปั้นบอกว่ามันก็แล้วแต่ช่วง เพราะบางครั้งทำเพลงให้วงตัวเองก็มีจุดอิ่มตัวที่ต้องไปหาแรงบันดาลใจจากการทำเพลงให้คนอื่น ๆ 

14. ถ้ามีเวลาว่างทั้งปั้นและเบนก็อยากจะออกไปเที่ยว ไปเห็นอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ เพราะบางทีเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเครียดอยู่กับการใช้ชีวิตเดิม ๆ การไปเที่ยวก็ถือเป็นการเติมสีสันให้กับชีวิตตัวเอง

15. ในช่วงแรก ๆ เบนจะชอบคาดหวังกับผลงานของตัวเองมากเกินไป จนมองว่าผลงานตัวเองไม่ดีพอ แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่ายังไงการทำงานโดยที่ไม่ต้องกดดันตัวเองมาก ๆ ยังไงมันก็ออกมาดีเสมอ

16. ปั้นบอกว่าการทำเพลงมันคืองานศิลปะ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้อารมณ์เยอะมาก ๆ ดังนั้นเราก็ไม่สามารถทำตามความคาดหวังของทุกคนได้ ในฐานะศิลปินเราแค่ต้องทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง

17. ในการทำงานด้วยกัน เบนบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความเห็นไม่ตรงกับปั้น แต่ทั้งคู่ก็จะถกกันเพื่อหาแนวทางการแก้ไขที่ดีที่สุดเสมอ และจะต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่าเรามีจุดประสงค์ในการถกกันไปเพื่ออะไร ซึ่งต้องใช้เหตุและผลมาก ๆ และไม่เอาอารมณ์มาตัดสิน

18. ปั้นบอกว่าเมื่อก่อนตัวเองก็เป็นคนที่ตื่นเต้นมาก ๆ เวลาที่จะต้องขึ้นโชว์ต่อหน้าคนเยอะ ๆ แต่สุดท้ายเราเองก็จะต้องอย่าลืมว่าเราทำไปเพื่ออะไร และไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นว่าจะมีใครมาตัดสินเรา น้อง ๆ ชาว Dek-D.com ก็สามารถนำแนวทางนี้ของพี่ปั้นไปใช้ได้นะ เวลาที่ต้องพูดต่อคนเยอะ ๆ และการฝึกซ้อมบ่อย ๆ ก็สำคัญ

19. ปั้นบอกว่าตอนนี้รู้นะว่าความรักคืออะไร แต่ยังอยากหาคนมาติวอยู่ ส่วนเบนบอกว่านิยามความรักในแบบฉบับของเบนก็คือ “การใส่ใจกัน” เพราะไม่ว่าจะใส่ใจกับอะไรมันก็จะออกมาดีหมด

20. A E I O U ปั้นก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม I ไม่อยู่ข้าง U

21. LUSS คือตัวแทนของคนที่ ‘ความซุกซน ไม่ชอบอยู่ในกรอบ ไม่ชอบที่จะเหมือนใคร และไม่สมบูรณ์แบบ’ ถึงว่าจะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ไม่เป็นไร  

22. ปั้นและเบนมีสิ่งที่ก่อนตายต้องได้ทำสักครั้ง! นั่นก็คือให้เพลงของ LUSS ได้เป็น Inspiration ให้กับใครก็ตามที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนใคร เพราะในตอนเด็ก ๆ ไม่เคยมีใครมาบอกปั้นว่า ถึงจะแตกต่างก็ไม่เป็นไร ปั้นก็เลยอยากจะให้ LUSS เป็นคนคนนั้นให้กับน้อง ๆ หรือใครก็ตามที่มีความฝันแตกต่างจากสิ่งที่ผู้ใหญ่กำหนด

23. ในอีก 5 ปีข้างหน้าทั้งปั้นและเบนมองว่าอยากจะให้ LUSS เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ หลาย ๆ คน ที่มีความฝันแตกต่างจากสิ่งที่ผู้ใหญ่กำหนด ซึ่งมันก็คือสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก่อนตายนั่นแหละ แต่จะโฟกัสและตั้งใจกับมันให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

24. หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้แต่ว่าทั้งปั้นและเบนนั้น เป็นคนที่ชอบกินมาก ๆ แต่เพราะว่าโควิดทำให้กินอะไรก็ไม่อร่อยเท่าเดิม

25. เบนบอกว่าผลงานต่าง ๆ ของ LUSS ถ้ามองผ่าน ๆ มันก็ดูเป็นผลงานที่ย่อยง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในทุก ๆ ผลงานมันแอบแฝงไปด้วยความคิดและอุดมการณ์อะไรบางอย่างเสมอ ภายใต้ความแบ๊ว ๆ ของ LUSS มันมีจุดยืนที่ชัดเจนอยู่เสมอ

26. อย่างใน Single ล่าสุด TUTOR ถ้าพูดถึงแค่ตัวเพลง ปั้นบอกว่ามันก็คือการตั้งคำถามว่า “ทำไมผู้หญิงถึงจะบอกชอบใครก่อนไม่ได้” ในมุมมองของผู้หญิงแบบปั้น ส่วนใหญ่ถ้าจะบอกชอบใครจะไม่พูดตรง ๆ ต้องพูดอ้อม ๆ ถ้าสังเกตดี ๆ ในเนื้อเพลงจะไม่มีคำว่าชอบเลย

27. LUSS เป็นวงที่ดื้อมาก ๆ มีความเชื่อมั่นในอุดมการณ์สูงมาก ๆ และยึดมั่นในตัวตนสุด ๆ แต่ก็ยังรับฟังสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่เสมอ และทำในสิ่งที่ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร

28. ปั้นและเบนฝากขอบคุณแฟนคลับที่ยังติดตามกันมาตั้งแต่วันแรก รวมถึงแฟนคลับคนใหม่ ๆ ด้วย เพราะรู้สึกอบอุ่นใจมีกำลังใจในการทำเพลง และทำสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ แฟนคลับทุกคนน่ารักมาก ๆ เหมือนเป็นครอบครัวนึงเลย ขอบคุณมากจริง ๆ

29. ปั้นยังฝากถึงน้อง ๆ ชาว Dek-D.com อีกว่า “ไม่ต้องรีบ ใจเย็น ๆ ไม่ต้องเอาตัวเองไปเทียบกับใคร” สุดท้ายแล้วทางของเรามันก็คือทางของเรา ไม่มีใครรู้จักตัวเราเองดีเท่าตัวของเราเอง “You are the most powerful person in your life” และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะบอกตัวเองตอนเด็กแบบนี้เหมือนกัน

30. ส่วนเบนก็ได้ฝากบอกถึงน้อง ๆ ชาว Dek-D.com เหมือนกันว่า ไม่ต้องรีบ และให้เป็นตัวของตัวเอง อย่าพยายามไปเขวตามในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดีแต่มันขัดใจเรา ถ้าเราเชื่อมั่นและมั่นใจว่าอะไรมันดีก็ให้ลงมือทำไปเลย