ไปเรียนต่อแล้วป่วยทำยังไงดี? เมื่อค่ารักษาพยาบาลที่ ‘อเมริกา’ แพงมากและเข้าถึงยากสุดๆ

สวัสดีชาว Dek-D ทุกคนค่า อย่างที่รู้กันว่า “สหรัฐอเมริกา” เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่คนทั่วโลกมักแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนกันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะไปเที่ยว ไปเรียน ไปทำงาน หรือไปอยู่อาศัยในระยะยาว ซึ่งแน่นอนว่าการจะเดินทางไปต่างแดน เราก็ต้องมีแพลนเตรียมพร้อมในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องเอกสาร ที่พักอาศัย และค่าใช้จ่าย แต่ก็มักจะมีเรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนอาจมองข้ามและไม่ได้คำนึงถึง นั่นก็คือ “การจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลและการดูแลตัวเองเมื่อป่วย” นั่นเองค่ะ

วันนี้ พี่ปุณ เลยจะขออาสามาตอบคำถามที่ว่า ถ้าไปเรียนต่อแล้วเกิดป่วยขึ้นมาต้องรับมือกับสถานการณ์นั้นยังไง? ทำประกันสุขภาพได้ไหม? แล้วทำไมค่ารักษาพยาบาลที่อเมริกาถึงแพงแสนแพง? พร้อมแล้วอย่ารอช้าไปหาคำตอบกัน!

Photo Credit: Unsplash.com
Photo Credit: Unsplash.com

ทำไมค่ารักษาพยาบาลในอเมริกาถึงแพงมาก?

ด้วยความที่สหรัฐอเมริกาไม่มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือสิทธิการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนพลเมืองเหมือนอย่างหลายๆ ประเทศ ทำให้ในแต่ละปีรัฐบาลต้องเสียงบประมาณไปกับค่าบริหารระบบสาธารณสุขเยอะมาก ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในประเทศนี้ค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆ 

ส่วนอีกเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศต้องทำประกันสุขภาพไว้ก็เพราะว่าค่าเครื่องมือทางการแพทย์และค่ายาของที่นี่คือแพงมากกก! ยิ่งถ้าเป็นหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล ตัวเลขค่ารักษาก็จะยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปอีก เพราะหมอและบุคลากรของที่นี่จะเคร่งครัดและระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของคนไข้มากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการฟ้องร้องในภายหลังนั่นเองค่ะ 

นอกจากนี้ยังมีการตรวจอย่างละเอียดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง จึงยิ่งทำให้เกิดค่าใช้จ่ายบานปลายหนักสุดหลายพันดอลลาร์ เรียกได้ว่าป่วยทีก็คือเป็นหนี้หรือแทบล้มละลายได้เลยล่ะค่ะ น้องๆ คนไหนอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปอ่านต่อที่นี่ 

Photo Credit: Unsplash.com
Photo Credit: Unsplash.com

นักศึกษาต่างชาติจะเข้าถึงระบบสาธารณสุขอเมริกาได้ยังไงบ้าง?

โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นการรักษาพยาบาลทั่วไป นักศึกษาต่างชาติจะสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ผ่าน “ศูนย์สุขภาพหรือสถานพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่เข้าศึกษา” ซึ่งต้องบอกเลยว่านอกจากการรักษาจะครอบคลุมทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การเอ็กซเรย์ การรักษาที่ต้องใช้ผลแล็บ รวมไปถึงการตรวจและประเมินอาการโดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญแล้ว ค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมดยังถูกกว่าค่านัดพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ

อย่างไรก็ตามในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินอื่นใดให้ต้องรีบเข้ารับการรักษา พี่ก็ขอแนะนำให้น้องๆ ไปโรงพยาบาลใกล้เคียงโดยทันทีเลยนะคะ แม้ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าแต่เรื่องของความสะดวกปลอดภัยยังไงก็ต้องมาก่อน!

Photo Credit: Unsplash.com
Photo Credit: Unsplash.com

ประกันสุขภาพสำหรับนักศึกษาต่างชาติ

ในส่วนของการทำประกันสุขภาพ สำหรับนักศึกษาที่ถือวีซ่าประเภท F-1 ทางโรงเรียนและมหา’ลัยจะมีประกันสุขภาพมาให้เลือก โดยสถาบันขนาดใหญ่ก็จะมีประกันที่ครอบคลุมและครบถ้วนมากกว่าสถาบันขนาดเล็ก แต่ถ้าน้องๆ คนไหนเลือกเรียนต่อในสถาบันที่ไม่มีประกันสุขภาพให้ ก็สามารถเลือก “ประกันสุขภาพแบบเฉพาะสำหรับนักศึกษาต่างชาติของบริษัทเอกชน” ได้เช่นกัน

ส่วนใครที่ถือวีซ่าประเภท J-1 ก็จะต้องเลือกซื้อประกันตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็อาจจะสูงกว่าเล็กน้อยนั่นเองค่ะ

Photo Credit: Unsplash.com
Photo Credit: Unsplash.com

บอกเลยว่าใครที่กำลังมีแพลนเรียนต่ออเมริกาต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ “การรักษาพยาบาล” ในต่างแดนไว้ให้ดี เพราะนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและบายปลายแล้ว น้องๆ ยังไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานได้เหมือนอย่างคนในประเทศด้วยเหตุผลทางกฎหมายอีกด้วย ทางที่ดีคือ “การทำประกันสุขภาพไว้กับโรงเรียนหรือมหา’ลัย” เพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจไว้ก่อนนะคะ ^^
 

Source:https://www.studyinternational.com/news/us-healthcare-guide-students/ 
พี่ปุณ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น