สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคน พอเปิดเทอมแล้วหลายคนคงต้องกำลังหัวหมุนกับวิชาภาษาอังกฤษอยู่แน่ๆ เลย โดยเฉพาะการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษหรือ ‘Essay Writing’ ที่เป็นด่านปราบเซียนของใครหลายคน (รวมถึงพี่ด้วย แหะๆ) แม้ว่าจะยากขนาดไหน แต่ถ้าหากเรารู้จักโครงสร้างประโยคเยอะๆ หรือมีคลังแพตเทิร์นไว้หลากหลายรูปแบบ บอกเลยว่าจะช่วยให้เรียงความของเราสละสลวย เฉิดฉายและมีชั้นเชิง ใครได้อ่านต้องกดไลก์รัวๆ แน่อนนน! ว่าแล้วก็ตามมาจดกันเลยค่ะ
……….…….
เขียน Essay ทั้งทีต้องมีอะไร?
ความจริงแล้วเรียงความภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้ต่างจากเรียงความภาษาไทยเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะสุดท้ายมันก็ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ เหมือนกัน ได้แก่ คำนำ (Introduction), เนื้อเรื่อง (Body) และสรุป (Conclusion) แต่สูตรสุดฮิตที่เจอบ่อยๆ ต้องยกให้ ‘5 paragraph essay’ หรือการเขียนเรียงความห้าย่อหน้า ที่มีองค์ประกอบดังนี้
- คำนำ [ย่อหน้าที่ 1]
- เนื้อเรื่อง
- เนื้อหาที่ 1 [ย่อหน้าที่ 2]
- เนื้อหาที่ 2 [ย่อหน้าที่ 3]
- เนื้อหาที่ 3 [ย่อหน้าที่ 4]
- สรุป [ย่อหน้าที่ 5]
หากอิงตามสูตรนี้แล้ว น้องๆ ควรจะแจกแจงให้ชัดเจนตั้งแต่คำนำว่าส่วนของเนื้อหาที่ 1, 2 และ 3 จะมีข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องอะไร พอเราเขียนถึงเนื้อเรื่องในแต่ละส่วนก็ค่อยอธิบายเพิ่มเติมต่อไปให้ชัดเจน ถ้าทำแบบนี้แล้วรับรองว่าคนอ่านจะไม่งงอย่างแน่นอนค่ะ!
จงชัดเจนใน Main Idea
Main Idea หรือ ‘ใจความความสำคัญ’ คือแก่นเรื่องทั้งหมดของเรียงความเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคำนำ เนื้อเรื่อง หรือสรุป ทุกอย่างที่เราเขียนมาต้องสอดคล้องกับ Main Idea // ห้ามนอกประเด็นเลยนะ!
พี่ขอยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเรากำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุนัข โดยมีใจความว่า ‘Dogs are friendly.’ (สุนัขเป็นมิตร) เนื้อหาของเราก็อาจจะประกอบไปด้วยประโยคที่สนับสนุนใจความของเรา เช่น
- ‘Dogs love to have interaction with other animals.’ (สุนัขชอบมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์อื่น)
- ‘Dogs have positive body language with humans.’ (สุนัขมีภาษากายเชิงบวกกับมนุษย์)
แต่ในทางกลับกัน ถ้าใจความของเราคือ ‘Dogs are friendly.’ แต่เขียนเนื้อหาว่า ‘I like hamburger.’ (ฉันชอบแฮมเบอร์เกอร์) ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยแบบนี้ ถือว่าออกนอกประเด็นอย่างแรง ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะเขียนไม่ได้เสียทีเดียวนะคะ แต่น้องๆ จำเป็นต้องเขียนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและกลับไปที่ Main Idea ให้ได้ค่ะ
……….…….
8 โครงสร้างประโยคยกระดับ Essay
หลังจากเข้าใจการเขียน Essay แบบคร่าวๆ แล้ว ลองมาดูโครงสร้างประโยคที่น่าหยิบไปใช้ในการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษกันต่อเลยดีกว่าค่ะ บอกเลยว่าเจอบ่อยมากกกก เกียมปากกามาจดต่อเลยค่าา
1. [ N1 ] + is + what + [ N2 ] + is all about
โครงสร้างนี้ใช้เพื่ออธิบายใจความหลักของสิ่งหนึ่งค่ะ แปลคร่าวๆ ก็คือ “… คือความหมายของ …” ประมาณว่าถ้าพูดถึงสิ่งนี้แล้ว ภาพที่สำคัญที่สุด ครอบคลุมที่สุดก็คือคำนี้
โดยทั่วไปโครงสร้างนี้จะวางคำนาม [N1] ที่เน้นใจความสำคัญไว้ข้างหน้ามากกว่าา [N2] ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่ถูกพูดถึง อธิบายแบบนี้น้องๆ อาจจะยังไม่เห็นภาพ ว่าแล้วก็ลองมาดูประโยคที่คล้ายคลึงกันค่ะ
ประโยคเดิม: This painting is all about the artist's love life. (ภาพวาดนี้มีความหมายเกี่ยวกับชีวิตรักของศิลปิน) = The artist’s love life is what the painting is all about. (ชีวิตรักของศิลปินคือความหมายที่ภาพวาดนี้ต้องการจะสื่อ)
เห็นไหมคะว่าการเรียงโครงสร้างประโยคใหม่แบบนี้เป็นการเน้นความหมายมากกว่าค่ะ
ตัวอย่างประโยคอื่นๆ
- Beauty is what skin care is all about.
(ความสวยคือความหมายของการดูแลผิว) - Sharing is what love is all about.
(การแบ่งปันคือความหมายของความรัก)
2. [ N. ] + love + nothing more than + …
โครงสร้างนี้ใช้บอกถึงสิ่งที่ประธานของประโยครู้สึกชอบมากๆ จนไม่มีอะไรจะมาเทียบเคียงได้เลยค่ะ (ชอบมากแบบตะโกนนนน) ซึ่งจะคล้ายๆ กับรูปประโยคแบบ I love you more than anything. (ฉันรักเธอมากกว่าสิ่งใด) แต่เราพลิกกลับเป็น I love nothing more than you. ฉันไม่เคยรักอะไรไปมากกว่าเธอเลย! บอกเลยว่าไม่ซ้ำซากจำเจแน่นอน~
ตัวอย่างประโยค
- They love nothing more than to be happy.
(พวกเขาไม่เคยจะรักอะไรไปมากกว่าการมีความสุข) - She loves nothing more than fangirling over K-idols.
(เธอไม่เคยจะรักอะไรไปมากกว่าการหวีดไอดอลเกาหลี)
3. There is no doubt that + …
หากน้องๆ อยากเขียนเพื่อเน้นย้ำแนวคิดทฤษฎี หรือพูดถึงสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่แล้ว ลองมาใช้โครงสร้าง “There is no doubt that…” เลยสิคะ แปลแบบง่ายๆ ก็คือ “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…/ไม่มีข้อกังขาเลยว่า…”
รูปแบบนี้ใช้ได้ทั้งกรณีที่อยากจะเกริ่นเพื่อเชื่อมไปกับเรื่องอื่นๆ เช่น There is no doubt that earth has gravity, but how does it happen? (ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโลกมีแรงโน้มถ่วง แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ? = ใช้เล่าต่อถึงเรื่องกำเนิดแรงโน้มถ่วงได้)
หรือจะใช้ในกรณีพูดคุยปกติในชีวิตประจำวันก็ได้เหมือนกันค่ะ เช่น I got hundred scores in Math. There is no doubt that our teacher is gonna be proud of me. (ฉันได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ 100 คะแนน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณครูของเราจะต้องภูมิใจในตัวฉันอย่างแน่นอน)
ตัวอย่างประโยค
- There is no doubt that Taylor is the best in songwriting.
(ไม่มีข้อกังขาเลยว่าเทย์เลอร์นั้นคือที่สุดในเรื่องของการแต่งเพลง) - There is no doubt that they planned to trick us.
(ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาวางแผนจะหลอกเรา)
4. Another key thing to remember is + …
ประโยคนี้ใช้สำหรับเน้นย้ำสิ่งที่เราต้องการจะบอกผู้อ่านค่ะ แปลได้ว่า “อีกสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ…” ประมาณว่าต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะ! มักจะเป็นกฎเหล็ก สิ่งจำเป็นที่ถูกลืมบ่อยๆ และเนื้อหาสำคัญ (รีบเอาปากกามาวงด่วนๆ)
ถ้าสังเกตดูก็จะพบว่าประโยคนี้มีคำว่า Another ที่แปลว่า อีกสิ่ง, สิ่งอื่น, อย่างอื่น ซึ่งหมายความว่าประโยคนี้จะใช้เขียนหลังจากส่วนสำคัญก่อนหน้าได้เขียนขึ้นแล้ว หรือ ใช้พูดหลังจากคู่สนทนาพูดสิ่งสำคัญไป แล้วเราก็พูดเสริมขึ้นอีกนั่นเองค่ะ
ตัวอย่างประโยค
- Another key thing to remember is this house is haunted.
(อีกสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือบ้านนี้มีผีสิง) - Another key thing to remember is do not forget your concert ticket.
(อีกสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ อย่าลืมบัตรคอนเสิร์ตของคุณ)
5. [ N. ] + may + put on a + [ Adj. ] + front but inside
+ [ Sentence ]
ประโยคนี้ก็น่าจดไปใช้มากกก เพราะเป็นการพูดถึงความขัดแย้งระหว่างภายในและภายนอกค่ะ แปลว่า “… อาจจะดู …. แต่ข้างในนั้น ….”
put on a …. front ในที่นี้หมายถึงภาพลักษณ์ที่แสดงออกมา และ inside ในที่นี้ก็หมายถึงตัวตนที่แท้จริง ทริกการจำง่ายๆ ก็คือ ลองนึกถึงสุภาษิตไทยที่บอกว่า ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง หรือ ข้างนอกขรุขระข้างในต๊ะติ๊งโหน่งก็ได้ค่ะ (หรือยากกว่าเดิมนะ 555555)
ตัวอย่างประโยค
- Otters may put on a cute front but inside they are predators.
(ตัวนากอาจจะดูน่ารัก แต่แท้จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์นักล่า) - Celebrities may put on a perfect front but inside they are also normal.
(คนดังอาจจะดูสมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาก็เป็นคนทั่วไปนี่แหละ)
6. The + [ Comparative adj/adv.] +…, +
[ The comparative adj./adv.] + …
ยังจำบทเรียนการเปรียบเทียบในภาษาอังกฤษกันได้มั้ยคะ? ใช่แล้วค่ะ! พวกที่ต้องเติม -er หรือใส่ more ข้างหน้า หรือที่เรียกว่า “Comparative adj/adv.” ซึ่งเราจะใช้เวลาที่ต้องการพูดถึง “อะไรที่…กว่า” เช่น older (แก่กว่า), newer (ใหม่กว่า), longer (นานกว่า), more expensive (แพงกว่า), more complex (ซับซ้อนกว่า) เป็นต้น
แต่สำหรับรูปแบบประโยคนี้จะเป็นการรวม 2 วลีไว้ในประโยคเดียวกัน แปลแบบกระชับได้ว่า “ยิ่ง…เท่าไหร่ ก็ยิ่ง…เท่านั้น” เช่น ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น หรือ ยิ่งตั้งใจเรียนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีผลการเรียนดีมากเท่านั้น เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ก็ลองไปดูตัวอย่างประโยคข้างล่างกันดีกว่าค่ะ
ตัวอย่างประโยค
- The lesser you spend, the more you save.
(ยิ่งคุณใช้น้อยเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งประหยัดมากขึ้นเท่านั้น) - The more you practice, the better results you get.
(ยิ่งคุณซ้อมมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีมากเท่านั้น)
7. The reason why + [ N. ] + … + is that + …
เวลาจะอธิบายเหตุผล พี่เชื่อว่าน้องๆ หลายคนคงเลือกใช้คำว่า ‘Because …… ’ กันใช่มั้ยล่ะ แต่แบบนี้ก็จะดูเบสิคไปหน่อย และเพื่อดูเป็นภาษาเขียนที่สละสลวยมากขึ้น โครงสร้างประโยคนี้ที่มีความหมายว่า “เหตุผลที่ … ก็คือ …” ก็น่าจดไปใช้ไม่น้อยเลยค่ะ
ประโยคเดิม: I want to eat because I’m hungry. (ฉันอยากกินเพราะฉันหิว) = The reason why I want to eat is that I am hungry. (เหตุผลที่ฉันอยากกิน ก็เพราะว่าฉันหิว)
เห็นได้ชัดเลยว่าใจความคล้ายเดิมแต่กลับเน้นย้ำถึงเหตุผลมากขึ้น แถมหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำใน essay ได้อีกด้วย!
ตัวอย่างประโยค
- The reason why I respect him is that he speaks for people.
(เหตุผลที่ฉันเคารพเขา ก็เพราะว่าเขาเป็นกระบอกเสียงเพื่อประชาชน) - The reason why she left you is that she doesn’t love you anymore.
(เหตุผลที่เธอทิ้งคุณไป ก็เพราะว่าไม่ได้รักคุณอีกต่อไปแล้ว)
8. It is time for + [ N. ] + to + …
สำหรับประโยคปิดท้ายขอยกให้โครงสร้างนี้เลยค่ะ มีความหมายว่า “ได้เวลาแล้วสำหรับ/ที่ … จะ…” ซึ่งใช้ได้ในหลายๆ บริบทมากๆ ทั้งเวลาเขียนเรื่องซีเรียส เช่น ได้เวลาแล้วที่คนไทยจะตระหนักเรื่องประชาธิปไตย หรือเรื่องชิลๆ ขำๆ เช่น ได้เวลาแล้วที่เราต้องเลิกติ่ง // เอาไปปรับใช้ได้หมดเลอออ
ตัวอย่างประโยค
- It is time for me to shine.
(ได้เวลาแล้วที่ฉันจะเฉิดฉายเปล่งประกาย) - It is time for LGBTQ+ people to have equal rights.
(ได้เวลาแล้วที่ชาว LGBTQ+ จะได้รับสิทธิเท่าเทียม)
ถ้าอยากได้วลีและคำเชื่อมเด็ดๆ อีก ดูต่อได้ที่
15 คำและวลีเริ่ดๆ ช่วยพลิกโฉม Essay ธรรมดาให้ Perfect กว่าที่เคย
………
เป็นยังไงกันบ้างคะ >< หวังว่าน้องๆ ทุกคนคงจะได้ประโยคไปหัดแต่งเขียน essay กันเพิ่มนะคะ แต่สำหรับตอนนี้ ‘It is time for me to say goodbye.’ แล้วค่ะ ได้เวลาแล้วที่พี่พันตาจะต้องบอกลาน้องๆ ไว้เจอกันใหม่ใน English Issues บทความหน้าค่า~
0 ความคิดเห็น