สวัสดีค่ะชาว Dek-D … น้องๆ คงจะได้ยินข่าว ‘การกราดยิงในสหรัฐอเมริกา’ มาบ้างไม่มากก็น้อยใช่ไหมคะ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่รัฐเท็กซัส (Texas) ซึ่งเป็นข่าวใหญ่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ นับได้ว่าเป็นคดีที่ร้ายแรงและสร้างความสะเทือนใจอย่างมาก // ว่าแต่น้องๆ สงสัยเหมือนกันมั้ยว่าทำไมพลเรือนสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น และนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์กราดยิงบ่อยครั้งหรือเปล่านะ?
วันนี้พี่พันตาจะขอพาน้องๆ ไปเจาะลึกที่มาที่ไปของ ‘Gun Culture’ วัฒนธรรมปืนของคนอเมริกาที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวมากมาย // ไปกันเล้ยยย
…………………
ปืนกับการเดินทางของคนผิวขาวสู่อเมริกา
ถ้าถามว่าคนผิวขาวในอเมริกาเอาปืนมาจากไหน ก็ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ว่าแท้จริงแล้วคนผิวขาวในอเมริกาไม่ใช่กลุ่มคนดั้งเดิมของที่นี่ค่ะ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษที่อพยพมาเนื่องจากความขัดแย้งทางศาสนา และพวกเขาก็พกอาวุธปืนมาพร้อมกับการเดินทางครั้งนั้นด้วย
ภายหลังจากที่อังกฤษครอบครองพื้นที่บางส่วนของอเมริกาแล้ว ประเทศแม่ (=อังกฤษ) มีนโยบายสนับสนุนอาวุธปืนให้ชาวอาณานิคม (=คนอเมริกา) ใช้ป้องกันตัวเองเพื่อเอาตัวรอดจากชนชาติอื่น พูดง่ายๆ คืออังกฤษ “ให้ปืน” เพื่อทุ่นแรงในการเข้าไปดูแลพื้นที่นั้นๆ ด้วยตัวเอง ดังนั้นสำหรับคนอเมริกา ‘ปืน’ จึงหมายถึง ‘การปกป้อง’ นั่นเองค่ะ
วัฒนธรรมคาวบอยในอเมริกาตะวันตก
สวมหมวกปีกกว้าง ถือปืนไรเฟิล พกเชือกหนังไว้ควบคุมสัตว์
สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็น ‘คาวบอย’ ในภาพจำของคนทั่วไป แต่หารู้ไม่ว่าคาวบอยที่คนคุ้นเคยกันคือ ‘คาวบอยอเมริกา’ และแรกเริ่มเดิมทีจริงแล้ววัฒธรรมคาวบอยนั้นก่อกำเนิดที่ประเทศสเปนค่ะ โดยมีฉากหลังคือการดูแลไร่องุ่นในยุคกลาง และการเลี้ยงโคทั่วคาบสมุทรไอบีเรีย แต่หลังจากการเข้ามาของสเปน อเมริกาก็รับเอาวัฒนธรรมนี้มาปรับใช้
กลุ่มคาวบอยอาศัยอยู่ทางตะวันตกของประเทศ และรวมตัวจากคนหลากหลายพื้นเพ ไม่ว่าจะเป็นทาสที่หลบหนี แรงงานชาวจีนที่คอยสร้างทางรถไฟ คาวบอยเม็กซิกัน และทหารที่ผ่านศึกสงครามกลางเมือง พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดเดี่ยว ว่องไว และมักเดินทางพร้อมกับม้าคู่ใจ
แน่นอนค่ะว่าคาวบอยต้องมีปืนไรเฟิลไว้คอยไล่พวกสัตว์นักล่าที่อาจจะเข้ามาวุ่นวายในฟาร์มตัวเอง แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาก็ไม่ได้พกกันเยอะแยะมากมายหรอกนะคะ เพราะนอกจากปืนจะแพงแล้วยังหนักเอาเรื่องอีกต่างหาก
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: รู้หรือไม่ว่าคาวบอยเป็นคนต้นคิดเพลงคันทรี!
คาวบอยในหนังก็ต้องคู่กับความกล้าหาญ ผู้หญิง และ ‘ปืน’
ภาพยนตร์คาวบอยหรือเรียกอีกอย่างว่าภาพยนตร์แนวเวสเทิร์น (Western) มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1920 เลยค่ะ แทบทุกเรื่องจะต้องมีพล็อตที่คล้ายๆ กันคือคาวบอยสุดกล้าหาญเข้าไปปราบความชั่วร้าย และเอาชนะใจสาวที่หมายปองได้ในตอนจบ ฉากที่เป็นไฮไลต์ของเรื่องก็จะหนีไม่พ้นการดวลปืน
ถึงจะฟังดูซ้ำซากจำเจ แต่เชื่อไหมคะว่าภาพยนตร์เวสเทิร์นได้รับความนิยมสูง เพราะแนวคิด ‘ความเป็นชาย’ ของคาวบอยในหนังมันช่างเท่กระชากใจ! เรียกได้ว่าเติมเต็มจินตนาการของชายอเมริกันยุคนั้นเอามากๆ ทว่าสิ่งที่เห็นล้วนเป็นภาพมายาที่ผ่านการเติมแต่งจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งฉากแอ็กชันสุดระห่ำ หมู่บ้านที่สวยงาม และเรื่องที่คนในกลุ่มมีแค่คนผิวขาวและชายล้วนเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นข้อมูลในหนังก็กลายเป็นภาพจำของคาวบอยไปแล้ว ปืนกลายเป็นสัญลักษณ์ความองอาจ จนเกิดความคิดว่า ‘ถ้าอยากเท่แบบคาวบอยก็ต้องมีปืนสิ!’ ในที่สุดการสะสมปืนก็กลายเป็นงานอดิเรกยอดนิยม กลุ่มคนรักปืนในอเมริกามีเยอะมากจนถึงขั้น “อาวุธปืน” กลายเป็นสินค้าที่ซื้อง่ายขายคล่อง โดยเฉพาะรัฐที่เป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของคาวบอยอเมริกาอย่างเท็กซัส
แต่มีปืนไม่ได้หมายถึงมีอันตรายเสมอไป
อย่างที่เล่าไปว่า สำหรับชาวอเมริกันแล้ว ปืนคือเครื่องมือป้องกันตนเองและช่วยให้มีชีวิตรอด เช่นเดียวกับในภาพถ่ายข้างต้นของ Zed Nelson เมื่อปี 1998 ที่เคยตกเป็นประเด็นใหญ่โต เมื่อผู้เป็นพ่อถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าไม่สมควรเอาปืนจ่อหัวลูกสาว โดยเฉพาะลูกที่อยู่ในวัยทารก
ต่อมาในปี 2016 The Guardian ก็ได้สัมภาษณ์ทั้งคู่ในสกู๊ป Gun Nation – America’s deadly love affair with firearms ฝ่ายพ่อเปิดเผยว่ามันคือภาพที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยการปกป้อง นอกจากนี้แล้วลูกสาวของเขาที่อยู่ภาพก็ยังมีมุมมองเชิงบวกอีกด้วย เธอกล่าวว่า
“นิ้วของพ่อไม่ได้อยู่ในระดับที่จะลั่นไก และภาพนี้ไม่ได้สื่อถึงการทำร้าย
พ่อไม่ได้พยายามจะทำแบบนั้นกับฉัน แต่พ่อกำลังปกป้องฉันต่างหาก”
NRA ตัวร้ายกับปืนมากมายในอเมริกา
กฎหมายครอบครองปืนในอเมริกาเกิดขึ้นพร้อมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 2 ในเนื้อความระบุว่า “ทหารรักษาการณ์ที่ควบคุมเอาไว้อย่างดีนั้นจำเป็นต่อความมั่นคงของรัฐอิสระ ดังนั้นประชาชนจะไม่ถูกละเมิดสิทธิในการรับและเก็บรักษาอาวุธ” จึงเป็นเหตุผลที่คนอเมริกาสะสมปืนมากขึ้นเรื่อยๆ
และเพื่อให้เห็นภาพว่ามีปืนมากขนาดไหน ก็ลองย้อนไปดูผลสำรวจของ Small Arms Survey ที่เผยว่าในปี 2018 อเมริกามีประชากรน้อยกว่า 5% จากทั้งโลก แต่ผู้ครอบครองปืนทั้งโลกกลับเป็นพลเรือนอเมริกันไปแล้ว 46%!!
และผู้สนับสนุนการเป็นเจ้าของอาวุธเหล่านี้ก็คือ "สมาคมปืนไรเฟิลแห่งสหรัฐ" หรือ The National Rifle Association (NRA) อันทรงอิทธิพลมากๆ (และอุดมไปด้วยเส้นสายและงบประมาณแบบสุดๆ เลยค่ะ) ถ้าถามว่า NRA ยิ่งใหญ่ขนาดไหน บอกเลยว่าแม้แต่อดีตประธานาธิบดีอย่างจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช ก็เคยเข้าร่วมสมาคมนี้ด้วย (แต่ท้ายที่สุดเขาก็ลาออกไปในปี 1995) และว่ากันว่ามีสมาชิก NRA ทั้งหมดมีมากถึง 3-5 ล้านคนเลยล่ะค่ะ
เป้าหมายของ NRA คือ พยายามลดการควบคุมและเพิ่มอิสระในการใช้ปืน พวกเขาทุ่มเงินปีละไม่ต่ำกว่า 3 ล้านเหรียญ และเฉพาะแค่ปี 2020 ปีเดียว สมาคมนี้ใช้งบไปถึง 250 ล้านเหรียญเลยค่ะ! แค่นั้นยังไม่พอนะคะ NRA ยังมีอำนาจทางอ้อมต่อการเมืองสหรัฐฯ ภายในสมาคมจะแบ่งแยกระดับสมาชิกในสภาคองเกรส (=สภาสูงสุดในรัฐบาลกลางของอเมริกา) ตั้งแต่เกรด A-F โดยใช้เกณฑ์คือความเป็นมิตรกับปืน
แต่ในปี 2021 ที่ผ่านมา NRA ก็ถูกนำขึ้นชั้นศาลด้วยคดีทุจริตทางการเงินค่ะ อำนาจของสมาคมจึงอ่อนลงอย่างมาก แม้ว่าจะพวกเขาจะประกาศล้มละลาย แต่ศาลก็ไม่อนุมัติเพราะดูยังไงมันก็ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย คงต้องรอดูกันต่อไปว่าทิศทางของสมาคมนี้จะเป็นอย่างไรในอนาคต
อัตราการกราดยิงอันน่ากลัว
ในอเมริกาเกิดการกราดยิงขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 5 ครั้ง โดยในปี 2017 มียอดกราดยิงถึง 34 ครั้ง นับเป็นตัวเลขที่สูงจนน่ากังวล อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้และเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกก็คือการกราดยิงในรัฐเท็กซัสเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 65 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 คนและเป็นเด็กประถมไปแล้ว 19 คน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่กระแสความคิดเห็นหลายทิศทาง โดยเฉพาะการมองว่า Gun Culture คือรากลึกของปัญหา เพราะดูได้จากอัตราการครอบครองปืนที่สูงลิ่วในอเมริกานั้นค่อนข้างสอดคล้องกับการเกิดเหตุกราดยิงที่นับวันยิ่งเพิ่มเรื่อยๆ
แม้ว่าวัฒนธรรมปืนในอเมริกาจะเริ่มจากเจตนาในการปกป้อง แต่แล้วกลับค่อยๆ เติบโตไปสู่ความคิดว่า ‘การมีปืนเป็นเรื่องเท่ๆ’ พวกเขาเริ่มสะสมเป็นงานอดิเรกและมองปืนในแง่บวก แถมมีกฎหมายที่เอื้อต่อการครอบครองอาวุธ ทำให้เกิดเป็นช่องโหว่ให้อาชญากรซื้อขายได้อย่างง่ายดาย จากเสรีภาพในการครอบครองปืน กลับกลายเป็นความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด…
0 ความคิดเห็น