“ฉันอาจไม่ใช่ทั้งชายและหญิง แต่ก็มากพอสำหรับคนอย่างแก”
— ราเซียไบ (Raziabai)
สวัสดีค่ะชาว Dek-D ในช่วงเดือนที่ผ่านมาคงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์เรื่อง ‘คังคุไบ หญิงแกร่งแห่งมุมไบ’ กลายเป็นกระแสฮอตฮิตในประเทศไทย ด้วยเนื้อหาที่เร้าใจและปลุกให้เราลุกขึ้นมาตั้งคำถามถึงสิทธิสตรีและ Sex Worker (อาชีพบริการทางเพศ) แต่เรื่องราวของคังคุไบคงจะไม่เข้มข้นขนาดนี้หากขาดตัวละคร ‘ราเซียไบ’ ตัวเต็งผู้ลงสมัครเลือกตั้งแห่งกามธิปุระ ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มสตรีค้าบริการกลุ่มใหญ่ นอกจากนี้แล้วเธอยังเป็น ‘ฮิจรา’ กลุ่มคนข้ามเพศที่มีอยู่ราว 10 ล้านคนในประเทศอินเดียอีกด้วย!
เมื่อกล่าวถึง ‘ฮิจรา’ หลายคนอาจสงสัยว่าพวกเขาเป็นใคร มองผิวเผินแล้วอาจจะเหมือนสตรีข้ามเพศ แต่ความจริงจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่? วันนี้พี่พันตาขออาสาพาน้องๆ ท่องโลกที่เต็มไปด้วยความรุ่งเรืองแต่กลับเจ็บปวดของฮิจรากันค่ะ
เพศกำเนิดเป็นชาย สวมใส่ส่าหรี แนวคิดก้าวข้ามเรื่องเพศ
พวกเธอคือ ‘ฮิจรา’
ฮิจราเป็นกลุ่มที่มีเพศกำเนิดเป็นชาย นิยมสวมใส่ส่าหรี บางกลุ่มแต่งงานกับชาย แต่บางกลุ่มก็สามารถแต่งงานกับหญิงได้เช่นกัน ต้องบอกก่อนว่าฮิจรานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลยล่ะค่ะ เพราะมีประวัติความเป็นมาบนผืนแผ่นดินของอนุทวีปอินเดียยาวนานมากกว่า 4,000 ปีเลยทีเดียว! อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากเอเชียใต้หลายประเทศรวมไปถึงอินเดียว่าเป็น ‘เพศที่สาม’ อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย
นิยามสำคัญของฮิจราคือ ‘การไม่ปรารถนาเพศ แต่เป็นการน้อมรับเพศทั้งสองเข้าด้วยกัน’ และเมื่อใช้แนวคิด LGBTQ+ เข้ามาจับ ก็อาจจะกล่าวได้ว่าพวกเธอคือกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender) กลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตามแม้ว่าแนวคิดหลักของฮิจราจะพูดถึงการไม่ปรารถนาเพศ แต่บางคนต้องการเปลี่ยนตนเป็นผู้หญิงจริงๆ จึงเกิดการถกเถียงว่าเราสามารถนับฮิจราเป็นสตรีข้ามเพศ (Transwomen) ได้หรือไม่
นอกจากนี้แล้ว ยังมีคนชี้ให้เห็นว่าจากบริบททางประวัติศาสตร์ของฮิจราที่ลึกซึ้งและมีมาอย่างยาวนาน ทำให้อาจไม่มีศัพท์คำใดที่อธิบายพวกเธอได้ดีเท่ากับคำว่า ‘ฮิจรา’
“ฉันเป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิงเหรอ? หรือฉันไม่ใช่ทั้งชายและหญิง?
ฉันคือฮิจรา ดังนั้นฉันจึงเข้าถึงภาวะความเป็นอยู่ของทั้งสองอย่างได้”
— Laxmi Narayan Tripathi
เปิดตำนานของ ‘ฮิจรา’ ในหน้าประวัติศาสตร์
หลักฐานที่บ่งชี้ว่ากลุ่มฮิจราอยู่มานานกว่า 4,000 ปี นั้นเห็นได้จากงานศิลปะอินเดียหลายชิ้นที่พรรณนาฮิจราในฐานะ ‘สาวกของพระแม่พหุชรา’ ซึ่งเป็นเทพแห่งความบริสุทธิ์และความอุดมสมบูรณ์ของศาสนาฮินดู นอกจากนี้แล้วพวกเธอยังปรากฏในตำราศาสนาฮินดูอื่นๆ เช่น ในรามายณะตอนหนึ่งที่พระรามถูกขับไล่จากอาณาจักร ท่านถูกปฏิเสธจากทั้งกลุ่มชายและหญิง เหลือเพียงฮิจราที่ยืนหยัดเคียงข้าง ดังนั้นในสมัยอินเดียโบราณฮิจราจึงได้รับความเคารพนับถือและถูกยกย่องเรื่องความจงรักภักดีนั่นเองค่ะ
ไม่ใช่เพียงแค่นั้นนะคะ เพราะต่อมาในยุคจักรวรรดิโมกุล โดยเฉพาะในยุคสมัยของพระเจ้าอัคบาร์มหาราช ฮิจรามีหน้าที่สำคัญในการบริหารการเงินของรัฐ พวกเธอมีฐานะสูงและครอบครองความมั่งคั่ง จนบางครั้งพระเจ้าชาร์ฮันคีร์ โอรสของพระเจ้าอัคบาร์ก็สั่งห้ามคัดตัวฮิจราเข้ามาในจักรวรรดิกันเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นในจักรวรรดิโมกุลปีต่อๆ มา กลุ่มฮิจราก็ยังคงดำรงตำแหน่งสำคัญของรัฐบาลอยู่ดีค่ะ และยังคงเป็นที่พึ่งพาสำคัญของพระเจ้าออรังเซพอีกด้วย
แต่ถ้าในอดีตฮิจรารุ่งเรืองขนาดนั้น…แล้วอะไรที่เป็นจุดพลิกผันของพวกเธอกันนะ?
การมาของอังกฤษเปลี่ยนความคิดให้คนเกลียดฮิจรา
คำตอบก็คือ ‘การล่าอาณานิคม’ ในช่วงศตวรรษที่ 15 หรือที่เรียกกันว่า ‘ยุคสมัยแห่งการค้นพบของยุโรป’ ค่ะ การล่าอาณานิคมก็คือการเข้าควบคุมอำนาจของรัฐอื่นๆ ทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐที่เป็นอาณานิคมนั้นขึ้นอยู่กับประเทศแม่เป็นหลัก ซึ่งหลังจากที่อังกฤษเข้ามาควบคุมพื้นที่ก็ทำให้อินเดียเสียอธิปไตยของอำนาจรัฐ และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฮิจรานั่นเองค่ะ
อิทธิพลของอังกฤษเริ่มเข้าปกคลุมอินเดียในช่วงที่จักรวรรดิโมกุลกำลังล่มสลาย (ช่วงศตวรรษที่ 18) และเมื่ออำนาจกลุ่มอื่นเริ่มแข็งแกร่งขึ้น บวกกับคนพื้นเมืองที่หันไปร่วมมือกับอังกฤษเพื่อกดขี่คนอินเดียด้วยกัน เลยทำให้ท้ายที่สุด อังกฤษสามารถเข้าปกครองอินเดียได้แบบสมบูรณ์!
หลังจากนั้นคนอังกฤษก็เริ่มยัดเยียดความคิดยุควิกตอเรียนให้คนพื้นเมือง ทั้งความเชื่อที่ว่า
- การแสดงออกทางเพศของกลุ่มฮิจรา ขัดกับหลักธรรมชาติและความเชื่อเรื่องบทบาททางเพศ
- ในความคิดของชาวอังกฤษยุคนั้น ฮิจราคือประชากรที่อยู่เหนือการควบคุม ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อการปกครองอาณานิคม
ส่งผลให้ในปี 1871 เกิดกฎหมายมาตรา 377 ที่ตราว่าการ 'กระทำทางเพศที่ผิดธรรมชาติ*ถือเป็นอาชญากรรม’ ขึ้นมา โดยเป้าหมายของกฎหมายนี้ชัดเจนว่าถูกตราขึ้นเพื่อทำให้เกิด ‘การทำลายล้างฮิจรา’ และนั่นก็ทำให้พวกเธอต้องพบกับความยากลำบากมากมาย ทั้งต้องหลบหนีตำรวจ ถูกเหยียดหยาม ขับไล่ ข่มขืน แต่ถึงอย่างนั้นฮิจราก็ยังยืนหยัดในอัตลักษณ์และพยายามรักษาประเพณีวัฒนธรรมของพวกเธอให้คงอยู่ไปด้วย
*การกระทำทางเพศที่ผิดธรรมชาติ ในกฎหมายมาตรา 377 หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทวารหนัก รวมไปถึงการเป็น homosexual
‘จากผู้ถือครองอำนาจ สู่คนชายขอบ’ ผู้อาศัยอยู่ด้วยแสงแห่งความหวัง
แม้ในปี 2014 จะมีกฎหมายรองรับให้ฮิจราเป็นเพศที่สามในอินเดีย แต่ในทางปฏิบัติ ฮิจรายังเป็นคนชายขอบที่ไม่ได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ ฮิจราเด็กหลายคนถูกไล่ออกจากบ้าน บังคับให้ขอทาน และขายร่างกายของตนค่ะ
เดิมทีแล้วฮิจราหาเงินเลี้ยงชีพด้วยการเต้นรำและขอทาน โดยพวกเธอจะให้คำอวยพรเป็นการแลกเปลี่ยน เพราะฮิจรามีวาจาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนานั่นเองค่ะ แต่แล้วกาลเวลาก็เปลี่ยนให้อาชีพนี้ล้าสมัย และแทบไม่เหลืออาชีพที่ฮิจราทำได้เลย ไม่ใช่เพียงรัฐที่ไม่แจกจ่ายงานให้เท่านั้น แต่ยังไม่มีใครยอมรับฮิจราเข้าทำงานด้วย
สุดท้ายพวกเธอจึงเริ่ม “ขายบริการ” แม้จะเป็นอาชีพที่เสี่ยงมาก ย้อนไปเมื่อปี 2015 หนึ่งในฮิจราเคยเผยผ่านวิดีโอสัมภาษณ์ของ Guardian ว่าตนเคยถูกชายห้าคนรุมข่มขืนมากถึง 5-6 ครั้ง ซ้ำยังฉกชิงของมีค่าไปด้วย
แน่นอนว่าพวกเธอมีโอกาสเจอโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกเมื่อ แต่ที่เศร้ากว่านั้นคือ ฮิจรามักถูกปฏิเสธสิทธิ์การรักษาในสถานพยาบาล! ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ใช้ชีวิตด้วยแสงแห่งความหวัง ชุมชนนี้ยังคงมีฮิจราที่เป็นนักเคลื่อนไหว ตัวอย่างเช่น Laxmi Narayan Tripathi ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิของฮิจราและ LGBTQ+
“ฉันไม่ได้สร้างพระราชวัง แต่อย่างน้อยฉันได้วางหินก้อนหนึ่งไว้ที่ฐานราก
เป็นรากฐานแห่งความเสมอภาค ศักดิ์ศรี และการรวมชุมชนของฉันไว้ในสังคมกระแสหลัก”
— Laxmi Narayan Tripathi
ปัจจุบันมุมมองความหลากหลายทางเพศในอินเดียกำลังก้าวไปในทิศทางที่ดีขึ้น เหมือนแสงแห่งความหวังที่เริ่มจากจุดเล็กๆ และฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2018 กฎหมายมาตรา 377 ก็ได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญของกลุ่ม LGBTQ+ ทีเดียวค่ะ!
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วทุกคนก็คงจะได้ซึมซับเรื่องราวของฮิจรากันไปบ้าง หวังว่าบทความเล็กๆ นี้จะทำให้เพื่อนๆ รู้จักกันฮิจรากันมากขึ้นนะคะ วันนี้พี่พันตาก็ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สุขสันต์เดือน Pride Month ค่ะ ️️:)
___________________________________
Sources:https://www.vox.com/2014/4/16/5618610/hijras-rulinghttps://www.nytimes.com/2018/02/17/style/india-third-gender-hijras-transgender.htmlhttps://theculturetrip.com/asia/india/articles/a-brief-history-of-hijra-indias-third-gender/https://sewa-aifw.org/the-hijra-community-and-decolonizing-gender/https://sites.uab.edu/humanrights/2018/10/29/indias-relationship-with-the-third-gender/https://www.washingtonpost.com/news/worldviews/wp/2016/04/23/why-terms-like-transgender-dont-work-for-indias-third-gender-communities/https://www.dailymail.co.uk/news/article-4286052/The-gender-Hijras-forced-work-sex-trade.htmlhttps://www.wessexscene.co.uk/magazine/2019/03/17/history-of-the-hijra-ancient-india-to-today/https://law.unimelb.edu.au/centres/alc/engagement/past-events/2019-past-events/governing-gender-and-sexuality-in-colonial-india-the-hijra,-c.-1850-1900https://indianexpress.com/article/research/eunuch-security-guards-bihar-mughal-empire-history-5266102/https://www.bbc.com/news/world-asia-india-48442934https://www.teenvogue.com/story/colonialism-explainedhttps://asiancenturyinstitute.com/development/1568-britain-s-shameful-colonisation-of-indiahttps://www.youtube.com/watch?v=kpp9_YmLlckhttps://wiki.fibis.org/images/3/32/British_soldiers_looting_Qaisar_Bagh_Lucknow.jpghttps://www.youtube.com/watch?v=5O3gqFvhIiU
0 ความคิดเห็น