คุยกับ “พี่เจ๋ง Big Ass” ย้อนวัยเด็กที่ไม่ได้เรียนต่อ แต่ไม่เคยท้อ เพราะไม่อยากเสียใจภายหลัง

spoil

  • ทำงานหาเงินตั้งแต่ ป.3 ทำหลายอาชีพจนชีวิตไม่มีเวลาให้ฟุ้งซ่านหรือน้อยใจในชีวิต
  • ปัญหาใหญ่สุดของวัยเด็กคือการย้ายโรงเรียนแล้วต้องไปเริ่มต้นชีวิตในโรงเรียนใหม่
  • เมื่อรู้ว่าไม่ได้เรียนต่อก็คิดว่าต้องทำงาน เพื่อรอดจากชีวิตแบบนี้ อยากดูแลแม่และน้องได้
  • ผ่านทุกอย่างมาได้ เพราะแม่สอนว่า อย่าให้สิ่งที่ไม่ดีมาดูดกลืนชีวิตเราให้แย่ลงไปอีก

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้คอลัมน์ Top Hit Story มีโอกาสได้พูดคุยกับ พี่เจ๋ง – เดชา โคนาโล นักร้องนำวง Big Ass ซึ่งถ้าหากใครติดตามพี่เจ๋งมาตลอดจะรู้ดีว่าชีวิตวัยเด็กพี่เจ๋งลำบากมาก แต่เขาก็ผ่านทุกอย่างมาได้อย่างแข็งแกร่ง และแม้วันนี้จะมายืนในตำแหน่งนักร้องนำวง Big Ass แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับ เขาก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน... 

เพราะชีวิตไม่เคยง่าย เราจึงได้มุมมองและแง่คิดดีๆ จากการพูดคุยกับพี่เจ๋งมากมายที่น่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆ ชาว Dek-D.com เช่นกัน มีอะไรน่าสนใจบ้าง มาฟังจากปากพี่เจ๋งกันเลย

เจ๋ง Big Ass
เจ๋ง Big Ass

มีไม่เท่าคนอื่น แต่ไม่เคยโทษชีวิตที่ต้องเป็นแบบนี้

ความที่ยังเด็กมากอายุประมาณ 10-11 ขวบ แม้จะเจอเรื่องยากๆ ต้องปรับตัวเยอะ ต้องทำงานหาเงินช่วยแบ่งเบาครอบครัว ไม่ได้สุขสบายเหมือนคนอื่น แต่ก็ไม่ได้นึกน้อยใจหรือโกรธแม่ที่ทำให้ชีวิตต้องเป็นแบบนี้ เพราะเข้าใจถึงความจำเป็นเช่นกัน

“ตอนนั้นเรายังเด็ก ก็คิดแค่ว่าเราไม่ได้เล่นเหมือนคนอื่น ไม่ได้มีของเล่นเหมือนคนอื่น วัยเด็กผมมันขาดแคลนเรื่องการไม่ได้ดูการ์ตูน ไม่ได้เล่นของเล่น ไม่ได้ออกไปเล่นกับเพื่อน เราไม่ได้คิดว่า ทำไมแม่ไม่รวย ไม่มีเงิน ทำไมแม่ต้องทำให้เราไม่ได้เรียนต่อ ผมไม่ได้คิดแบบนี้ ไม่มีในหัวเลย”

การออกจากโรงเรียน ย้ายโรงเรียนใหม่ เป็นปัญหาใหญ่ของเด็ก

พี่เจ๋งเล่าถึงวัยเด็กให้ฟังว่า ตอนประถมไปอยู่กับญาติที่พระประแดงแล้วเกิดอุบัติเหตุแขนหัก การต้องพักรักษาตัวนาน ต้องไปอยู่โรงพยาบาล ต้องหยุดเรียน รวมถึงการเกิดอุบัติเหตุนี้ทำให้แม่มองว่าอันตราย จึงให้ออกจากโรงเรียนแล้วย้ายไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด และนั่นเป็นเรื่องยากของเด็กวัยนั้น

“การออกจากโรงเรียนหรือย้ายโรงเรียนใหม่มันเป็นปัญหาของเด็กเหมือนกันนะ ต้องไปเจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ผมว่าการปรับตัวในวัยเด็กมันค่อนข้างยาก ทุกอย่างมันใหม่หมด อย่างแรกคือต้องไปเจอเพื่อนใหม่ที่มีทั้งดีและไม่ดี เท่าที่จำความได้ เรื่องนี้เป็นอะไรที่ยากเหมือนกัน เรารู้สึกแย่ รู้สึกว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทั้งที่เราไม่ได้อยากออกจากโรงเรียน ยังอยากอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม แต่กลับต้องไปเริ่มต้นใหม่หมด มันยากไปหมดสำหรับผมในเวลาแบบนั้น”

เจ๋ง Big Ass - ภาพจาก MV เพลงมีความสุขมากๆ นะ
เจ๋ง Big Ass - ภาพจาก MV เพลงมีความสุขมากๆ นะ

ถ้ารู้สึกว่าชีวิตแย่ ให้มองสิ่งรอบข้างไว้เตือนสติ

พี่เจ๋งบอกว่า คนเราในแต่ละช่วงวัยนั้นคิดไม่เหมือนกัน ความคิดมันเปลี่ยนแปลงไปตามวัย แม้ตอนเด็กจะมีโอกาสน้อยกว่าคนอื่น ต้องทำงานหลายอย่าง แต่เท่าที่จำความได้คือไม่เคยคิดท้อแท้หรือต้องหาวิธีให้กำลังใจตัวเองเลย

“ผมรู้สึกว่ามันโชคดีสำหรับผม ผมทำงานหาเงินใช้เองตั้งแต่ ป.3 เราทำนู่นทำนี่จนเราไม่มีสมองมานั่งคิดบอกกับตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง เพราะมัวแต่ไปทำงาน ไปท้องนา ไปขี่ควาย ไปเกี่ยวข้าว (หัวเราะ) ไปล้างจาน ไปทำอะไรเยอะแยะมาก”

แต่เมื่อโตขึ้น มุมมองความคิดเปลี่ยนไป วัยเด็กพี่เจ๋งอาจจะทำงานหนักแล้วเหนื่อยจนนอนหลับไป เช้าขึ้นมาก็เริ่มต้นใหม่ แต่ในวัยทำงานแบบตอนนี้ เมื่อถามว่าวันไหนที่เจอปัญหา พี่เจ๋งจัดการอย่างไร พี่เจ๋งบอกว่าให้ดูสิ่งรอบข้าง คนอื่นเขายังลำบากกว่าเราอีก

“ผมดูสิ่งรอบข้างนะ สมมติเราเจอปัญหามา ทำไมวันนี้มันหนักจัง หรือแม้กระทั่งมันไม่เป็นอย่างที่เราหวังไว้ เราว่าชีวิตเราลำบากแล้ว แต่พอมองรอบข้าง ผมรู้สึกว่าคนอื่นลำบากกว่าเราอีก แต่เขาก็ยังอดทนสู้นะ เรายังมีข้าวกิน”

ชีวิตไม่เคยมีความฝัน รู้แต่ว่าอยากรอดพ้นจากสภาวะแบบนี้ให้ได้

“เอาจริงๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมฝันอะไร มันไม่ได้ฝันเลยนะตอนนั้น” พี่เจ๋งบอกพลางหัวเราะ พร้อมเล่าให้เราฟังว่า เขาทำงานตั้งแต่เด็กและทำหลายอาชีพมาก เพราะอยากรอดจากสภาวะชีวิตที่มันเป็นแบบนี้ อยากจะผ่านพ้นไป อยากทำงานแล้วมีเงินพอที่จะเลี้ยงดูแม่และน้องๆ ได้ หรือมีเงินพอซื้อขนมกิน ซื้อของที่อยากได้เท่านั้น ตอนนั้นคิดแค่นี้ ไม่ได้มีความฝันว่าอยากจะเป็นอะไรเลย

แต่เมื่อโตขึ้น ตอนที่เริ่มเล่นดนตรีกลางคืนพี่เจ๋งก็เคยฝันว่าอยากจะออกเทป โดยเคยทำ demo แล้วไปเสนอค่ายแต่ไม่ผ่าน สุดท้ายก็เลิกฝันไป พร้อมทั้งบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่พอเจอเรื่องผิดหวังแล้วมันจะทำให้ความฝันเริ่มดับลงไป

“เวลาเราฝันอะไร พยายามทำแล้วมันไม่ได้ ก็คิดว่าทำอะไรที่เราทำได้ตอนนี้ดีกว่า” พี่เจ๋งกล่าว

เมื่อรู้ว่าไม่ได้เรียนต่อ ก็มุ่งทำงานหาเงินเป็นหลัก

เมื่อถามถึงวันที่พี่เจ๋งรู้ว่าจะไม่ได้เรียนต่อแล้ว เคยคิดถึงการกลับไปเรียนต่ออีกบ้างไหม พี่เจ๋งบอกว่า “ช่วงแรกๆ คิดว่าอยากเรียน แต่จะมานั่งรอให้ได้เรียนก็ไม่ได้ ผมคิดว่าถ้าไม่ได้เรียนแล้วก็ทำงานดีกว่า พอผมทำงานไปนานๆ จิตใจมันก็ไม่ได้อยากจะใฝ่เรียนแล้ว และการทำงานมันก็ดีที่สุดสำหรับเวลานั้น”

วง Big Ass
วง Big Ass

แม่เตือนว่า อย่าให้สิ่งที่ไม่ดีมาดูดกลืนชีวิตเราให้แย่ลงไปอีก

การเป็นเด็กผู้ชายที่มีชีวิตลำบากแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยผ่านเรื่องชกต่อยหรืออบายมุข พี่เจ๋งก็เช่นกัน เขาเติบโตมากับการเห็นสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอดทุกช่วงวัย ทำให้รู้ว่ามันน่ากลัวจนไม่อยากไปยุ่งเกี่ยว

“ผมอาจจะเป็นคนขี้กลัว กลัวจนโชคดี เห็นสิ่งเหล่านี้แล้วรู้สึกกลัว กลัวพฤติกรรมของคนที่ดมกาว เราก็ห่างจากคนพวกนั้นไปตามวัย พอเราโตมารู้ว่าอะไรควรไม่ควร มันก็แยกแยะได้ อีกอย่างหนึ่งคือผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยไปสุงสิงกับใครเท่าไร แล้วแม่ก็เคยบอกว่า เราก็รู้ชีวิตตัวเองไม่ได้สวยหรู ต้องระวังสิ่งเหล่านี้ที่มันจะดูดกลืนกินเรา ให้เราแย่ลงไปอีก

เจอสิ่งที่ชอบแล้ว แต่อุปสรรคก็ยังตามมาเรื่อยๆ

แม้ว่าจะได้เริ่มร้องเพลงกลางคืนแล้ว แต่เมื่อกำลังไปได้ดีก็เกิดมีเรื่องวงแตกทำให้ร้านเลิกจ้าง ตอนนั้นพี่เจ๋งไม่ได้มีงานอื่นรองรับ ทำให้เกิดขัดสนขึ้นมาอีกรอบ

“ช่วงนั้นต้องใช้ชีวิตอยู่กับเงินที่เหลือให้ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะมีวงใหม่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้งานทำอีก แล้วเงินก็หมดไปทุกวัน เป็นช่วงชีวิตที่มันยาก หนักหนาสาหัสเหมือนกันครับ”

พี่เจ๋งเล่าเพิ่มเติมว่าตอนนั้นต้องซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไว้เพื่อแบ่งกินประทังชีวิตให้อยู่รอด ห่อหนึ่งต้องกินให้ได้ 2-3 วัน แช่น้ำให้อืด ใส่ตู้เย็นแล้วแบ่งกินทีละมื้อ

“มีหลายช่วงชีวิตที่ลำบาก ผมแค่คิดว่าต้องพยายามผ่านพ้นวิกฤตการณ์ช่วงนั้นไปให้ได้”

เรียนรู้ชีวิตในทุกๆ วัน เพื่อเตือนตัวเองว่าจะไม่ทำพลาดซ้ำอีก

กว่าจะเติบโตมาได้แข็งแกร่งขนาดนี้ ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย พี่เจ๋งบอกว่าทุกๆ คนล้วนเคยผิดพลาดในทุกช่วงชีวิต แต่มีเรื่องอะไรบ้างล่ะที่เราผิดพลาดแล้วไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดให้ได้

“ชีวิตเรามีเรื่องผิดพลาดเกิดได้ทุกวัน พอพลาดแล้วเราก็ต้องเข็ด ต้องเตือนตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกนะ มันไม่ใช่แค่เจ็บแล้วจำ แต่ต้องเรียนรู้ แล้วไม่ทำซ้ำอีกด้วย”

เมื่อถามต่อว่าทุกวันนี้ พี่เจ๋งคิดว่าตอนนี้ตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยัง?

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดและไม่เคยฝันว่าผมจะได้มาอยู่ตรงนี้ ผมแค่คิดว่าผมทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ได้คิดว่าตอนนี้ผมเป็นเจ๋ง Big Ass นะ ผมมีชื่อเสียง คิดแค่ว่าผมมีหน้าที่ต้องทำอะไร ผมจะทำให้ดีที่สุดในแต่ละวัน เพราะผมไม่อยากมานั่งเสียใจภายหลัง ตอนนี้ผมมีโอกาสที่ดี  การร้องเพลงเป็นอาชีพที่ผมรักและมีความสุขกับมันมาก”

เจ๋ง Big Ass
เจ๋ง Big Ass

โควิด-19 ทำให้เสียโอกาสไปมาก แต่ก็สร้างศิลปินใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

การที่ตลาดเพลงตอนนี้กว้างขึ้นกว่าเดิมมาก มีพื้นที่ให้หลายคนได้แจ้งเกิดเป็นศิลปินมากขึ้น แนวเพลงและสไตล์การทำเพลงก็หลากหลาย ผู้ฟังเองก็มีโอกาสได้เลือกฟังสิ่งที่ชอบ พี่เจ๋งบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเหมือนระลอกคลื่นในวงการเพลงเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นพี่เจ๋งก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก

“สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะมีวงใหม่มา มีศิลปินใหม่มา ผมว่ามันช่วยทำให้แวดวงดนตรีเรามันสนุกขึ้น มีอะไรมากขึ้น” พี่เจ๋งกล่าว

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะมีความแปลกใหม่หลากหลายมากขึ้นเท่าไร สิ่งที่คนในวงการเพลงต้องการในขณะนี้คงไม่ต่างกันคือ การได้ออกไปเจอแฟนเพลง การได้เล่นดนตรีสด ได้สัมผัสบรรยากาศความสนุกแบบที่เคยเป็น

“ตอนนี้ผมอยากให้สถานการณ์ดีขึ้น พวกเรา Big Ass อยากออกไปเล่นแบบ manual เหมือนเดิม  เพราะผ่านออนไลน์อย่างตอนนี้ ก็แค่พอได้เห็นหน้าให้หายคิดถึง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่วงดนตรีหรือแฟนเพลงเขาอยากสัมผัสจริงๆ คือบรรยากาศแบบเดิมที่เคยเกิดขึ้น”

แม้โอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ช่องทางในการเรียนรู้นั้นมีมากขึ้น

เมื่อขอให้พี่เจ๋งส่งต่อความรู้สึกไปถึงน้องๆ ที่ขาดโอกาสทางการศึกษาแบบพี่เจ๋งในวัยเด็กหน่อย พี่เจ๋งรีบบอกว่าไม่กล้าจะแนะนำหรือสอนใครเลย ขอเพียงแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้น้องๆ ได้รู้และนำไปปรับใช้ดีกว่า ทั้งยังฝากกำลังใจถึงน้องๆ วัยเรียนไว้ด้วยว่า

“ผมให้กำลังใจน้องๆ ทุกคน ผมว่าโอกาสของเด็กแต่ละคนในยุคนี้มันมีไม่เท่ากัน อาจจะด้วยฐานะ ด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ไม่ได้เรียนต่อ ถ้าน้องรักจะเรียนจริงๆ โอกาสมันอาจจะไม่มี แต่ในยุคนี้การเรียนรู้มันสามารถหาได้ง่ายขึ้นมากกว่าในยุคก่อน ไม่เหมือนยุคผมที่ต้องไปใช้ชีวิต ไปเจอด้วยตนเอง ถ้าน้องๆ ใฝ่รู้ น้องๆ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ เด็กสมัยนี้เขาเข้าใจง่ายครับ ผมว่าเขาเข้าใจว่าจะเรียนรู้จากอะไรได้บ้าง หรือแม้แต่หากไม่ได้เรียนจริงๆ ต้องหางานทำ การใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญ น้องๆ จะได้เรียนรู้และจะเข้าใจได้เองว่าอะไรดี อะไรไม่ดีกับตัวเองและครอบครัว”

นอกจากนี้ พี่เจ๋งยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า “ผมว่าผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญในการบ่มเพาะเลี้ยงดูเด็กๆ เด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาไม่ว่าจะโดยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ผู้ปกครองจะเป็นคนที่สามารถชี้แนะพวกเขาในทางที่ดีได้”

ชีวิตเรา เราเลือกได้ แค่ต้องไม่เดือดร้อนตนเอง ไม่เดือดร้อนคนอื่น

สุดท้ายนี้ พี่เจ๋งยังพูดถึงการใช้ Social Media สำหรับเด็กวัยรุ่นโดยเชื่อว่าน้องๆ รู้อยู่แล้วว่า Social Media มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งยังตัดสินใจได้เองว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า

“ถ้าน้องๆ ชอบอะไรก็ไปดูสิ่งที่น้องชอบ ทำในสิ่งที่รู้สึกว่ามันน่าจะเหมาะกับตนเอง แค่อย่าทำอะไรที่เดือดร้อนคนอื่น เดือดร้อนสังคม เดือดร้อนพ่อแม่ หรือเดือดร้อนตนเองเท่านั้นก็พอ ซึ่งผมพูดกลางๆ นะครับ ไม่อยากชี้แนะ เพราะแต่ละคนเขาจะเลือกทางของเขาเองได้ดีอยู่แล้ว”

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ พี่เจ๋ง Big Ass ที่ร่วมแชร์ประสบการณ์ให้เราฟังกัน เพราะขณะนี้ที่ี่เรายังเด็กอาจไม่ได้เรียนรู้ชีวิตมากนัก แต่การได้เรียนรู้ผ่านชีวิตคนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็ช่วยให้เรามีภูมิพอจะรับมือกับการใช้ชีวิตได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ หวังว่าการแชร์ประสบการณ์ของ พี่เจ๋ง Big Ass ในวันนี้ จะมีประโยชน์สำหรับน้องๆ ชาว Dek-D.com นะคะ 

ติดตามผลงาน   พี่เจ๋ง Big Ass และวง Big Ass เพิ่มเติมได้ที่เพจ  BIG ASS Rockband 

 

 

พี่จูน
พี่จูน - Columnist บ.ก.บันเทิง/ไลฟ์สไตล์ ใจดีกว่าหน้าตา รักสัตว์ รักเด็ก อยากเป็นนางเอกและนางงาม

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น