Spoil

  • Gaslighting เป็นหนึ่งในสัญญาณของความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ที่ขาดความเชื่อใจซึ่งกันและกัน
  • จุดสังเกตหลักคือ การหาว่าเรา "คิดไปเอง"

 

คุ้นเคยกับคำโกหกกันมั้ยครับ?

เวลาเราอยู่ในความสัมพันธ์ที่ต้องพบเจอ หรือใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นเนี่ย ต่างต้องมีคำพูด วาจา การสื่อสาร หรือพฤติกรรมที่แสดงออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ไหลไปตามเจตนาของแต่ละคนว่าต้องการจะให้อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร หรือให้เอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ไปได้อย่างไร

แต่ก็จะมีกลุ่มคนที่คอยใช้เล่ห์เหลี่ยมทางคำพูดเพื่อ “หลบเลี่ยง” และ “หลอกลวง” อีกคนให้ตายใจ ไปกับคำหยอดแสนหวาน การกระทำแสนดี เพื่อสร้างความไว้วางใจและทำให้เราสับสน คอยปั่นประสาทให้เรารำคาญใจ ลามไปจนถึงทำให้รู้สึก “ไม่มั่นใจในตัวเอง” และวันนี้พี่แทนนี่จะพาไปรู้จักกับการกระทำนี้กันครับ กับ “Gaslighting”

ทำไมถึงต้องชื่อ “Gaslighting” ?

เมื่อปี 1940 ไม่นานมานี้เนี่ย (?) โลกนี้มีภาพยนตร์ชื่อ “Gaslight” เกิดขึ้นมา เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกสามีของเธอปั่นหัวสารพัดด้วยคำพูดและการกระทำต่างๆ ที่จะทำเหมือนให้เธอรู้สึกว่าาเป็นคนสติไม่ดี เพื่อที่สามีจะได้ยึดมรดก เพราะผู้หญิงคนนี้มีสมบัติคือบ้านหลังสวย

มีฉากหนึ่งที่กลายเป็นตัวอย่างของการ “Gaslight” คลาสสิคเลยก็คือฉากที่สามีแอบหรี่แสงตะเกียงลง พอผู้หญิงเห็นก็ถามว่าดับไปลงทำไม สามีก็ตอบกลับไปว่า “เธอคิดมากปะเนี่ย เป็นอะไร ไฟก็สว่างปกตินะ” เท่านั้นแหละครับ จากที่เดิมทีเธอโดนปั่นมาหนักแล้ว คราวนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “เป็นบ้า” ไปจริงๆ ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

ภาพยนตร์ Gaslight (1940) - Youtube
ภาพยนตร์ Gaslight (1940) - Youtube 

Gaslight ที่เป็นชื่อของภาพยนตร์ จึงเป็นเหมือนตัวแทนของการกระทำที่มีคนคอยควบคุมอีกคนหนึ่ง ผ่าน “คำพูด” ที่ปั่นหัวอีกคนให้เชื่อในสิ่งที่ไม่จริง หลอกลวงและพยายามทำให้อีกฝ่ายไขว้เขว้ เพื่อบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ จนนำไปสู่การยอมตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำร้ายจิตใจผู้ถูกกระทำ และไม่ควรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ที่ดี

แม้จะเป็นเพียงการทำร้ายทาง “วาจา”

แต่สิ่งนี้กลับทำให้อีกคนเจ็บปวด

หรือรุนแรงที่สุดคือ “ยอมตาม ไม่คิดต่อต้านอะไรเลย”

การกระทำอะไรบ้างล่ะ? ที่นับเป็น “Gaslight”

ภาพจาก freepik
ภาพจาก freepik

ในทุกการสนทนาและความสัมพันธ์ ก็มีโอกาสที่เราจะถูก Gaslight นี้ได้ ซึ่งเป็นไปเพราะต้องการจะควบคุมอีกฝ่ายนึงให้อยู่ภายใต้การควบคุม ให้เชื่อฟัง และพยายามให้คิดไปอีกทางหนึ่ง โดยวันนี้เดี๋ยวพี่แทนนี่จะมาลิสต์ให้ดู ว่าจะมีพฤติกรรมอะไรบ้าง!

พยายามพูดโกหก แถมสวนกลับบอกว่า “ไม่จริง คิดไปเอง!”

เราก็เห็นอยู่ว่าเขาพยายามปิดบังอะไรบ้าง แต่ทำไมยังจะบอกว่าไม่จริงอีก แถมมักจะมาพร้อมการ “ขึ้นเสียง” ด้วย หาว่าเราคิดไปเองบ้างแหละ

พอพูดถึงปัญหาอยู่ก็ “เปลี่ยนเรื่องคุย”

แสดงออกชัดมาก มองจากดาวอังคารยังเห็น ถามว่าไปทำอะไรมาก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วก็สวนกลับมาว่า “คิดไปเองอีกแล้วนะ”

แล้วเห็นใช่มั้ยฮะ การกระทำหลักทั้งสองข้อที่มีเหมือนกัน คือ ชอบมาตอกย้ำหาว่า “คิดไปเอง” ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อีกฝ่ายพยายามทำให้เราสับสน ปั่นหัวให้เราสงสัยในตัวเอง 

"ว่ามันจริงอย่างที่เราคิด หรือ เราคิดไปเองจริงๆ" 

ปล่อยไว้ มีแต่เราที่ “เสียเปรียบ”

เคยได้ยินคำว่า “Toxic Relationship” กันใช่มั้ยฮะ คบกับใครก็เหมือนฝืน ทะเลาะกันตลอด ร้องไห้บ่อยกว่าหัวเราะให้กัน ขอบอกเลยว่า “Gaslighting” คือสัญญาณของ Toxic Relationship ได้ชัดที่สุดแล้ว เพราะมันสะท้อนถึงการที่ความสัมพันธ์ไม่เท่าเทียมกัน มีคนนึงคุมอีกคนด้วยความคิดและคำพูด ไม่มีความเชื่อใจระหว่างกัน ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีจะต้องพยายามไม่ให้มีอะไรแบบนี้

ภาพจาก pexels
ภาพจาก pexels

ผลกระทบร้ายแรงจากการต้องทนเจอกับอะไรแบบนี้นานๆ อาจลามไปได้ถึงปัญหาสุขภาพจิต สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ไปจนถึงรู้สึกว่าตนเองต้องยอมอีกคนไปเรื่อยๆ จนเป็น “ภาวะจำยอม” 

“เพราะฉะนั้น เจอแบบนี้ อย่าทน”

“ปรึกษาคนที่ไว้ใจ และหาทางแก้ปัญหาให้ได้โดยเร็วที่สุดนะ”

—-

ถ้ามีใครเคยเจอพฤติกรรมแบบนี้ ไม่ว่าจะจากคนรักหรือใครก็ตาม เจอแบบไหนมา มาแชร์กันได้นะครับ ไว้เจอกันในบทความหน้า :)

อ้างอิงข้อมูลจากhttps://www.verywellmind.com/is-someone-gaslighting-you-4147470https://www.healthline.com/health/gaslighting#examples
พี่แทนนี่
พี่แทนนี่ - Columnist เด็กจบใหม่จากสาขาจิตวิทยา ที่ดันค้นพบว่าชอบเขียนและเล่าเรื่องราวให้คนอื่นฟัง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น