Spoil
- ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบัน มีโอกาสทำให้คนเลือกที่จะไม่กินมื้อเช้ามากขึ้น
- การไม่กินมื้อเช้า เป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว
- นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อเรื่องของอารมณ์และผลการเรียนได้อีกด้วย
“อาหารเช้า มื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” วลีที่ถูกปลุกฝังมาเสมอจากพ่อแม่ที่หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินกัน ทุกเช้าจะถูกสอนให้ต้องรับประทานอาหารก่อนออกไปเรียนหรือทำงาน แต่ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตในปัจจุบันที่ในบางครั้ง บีบบังคับให้เราต้องอดมื้อเช้าเพื่อความเร่งรีบ บางทีก็ตื่นสายจนไม่ทันข้าวเช้า หรือหนักกว่านั้นคือเราเลือกจะไม่กินด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเพราะไม่อยากกินหรือลดน้ำหนักก็ตาม อย่างไรก็ตาม หลากหลายงานวิจัยต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันแน่นอนว่า “การอดมื้อเช้านั้นให้ผลเสียมากกว่าที่คิด” และเราจะเรียกการไม่กินมื้อเช้านี้ว่า "Breakfast Skippers"
นิยาม "Breakfast Skippers" แปลตรงตรงก็คือ การไม่รับประทานข้าวในมื้อเช้าของวัน ซึ่งมื้อเช้าจะนับอยู่ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน ด้วยความที่มื้อเช้าถูกมองว่าเป็นมื้อสำคัญของมนุษย์ นั่นหมายถึงว่าการที่เราไม่กินข้าวเช้านั้น จะตามมาด้วยผลเสียทางสุขภาพตามมา จาก common sense ของทุกคนพอนึกถึงข้อเสียของการอดข้าวเนี่ย ขอเดาว่า น่าจะนึกถึง “แสบท้อง ปวดท้อง” มาเป็นอย่างแรกใช่มั้ยล่ะครับ?
แต่พี่บอกได้เลยว่า ผลกระทบมันมีมากกว่านี้อีก และน่าสนใจมากด้วยในหลายๆ effect ของการแค่ไม่กินข้าวเช้า พี่แทนนี่เลยจะมาเล่าให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง มาดูกัน
น้ำหนักเพิ่มขึ้น
อ่านไม่ผิดหรอกครับ การไม่กินมื้อเช้ามีโอกาสทำให้น้ำหนักขึ้นได้ จากงานวิจัยได้บอกไว้ว่า การอดมื้อเช้านั้นจะทำให้เรากินเยอะขึ้นในมื้ออื่นๆ ของวัน ซึ่งระบบเผาผลาญของคนที่ไม่ได้กินมื้อเช้ามาเลยก็จะทำงานได้ไม่ดี นึกสภาพเหมือนเครื่องยนต์มันยังเย็นอยู่ มันก็จะทำงานได้ไม่ดีเท่าคนที่กินข้าวเช้ามาแล้ว ที่ร่างกายกำลังร้อนเลย ซึ่งการที่ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานไม่ดีนี่แหละ เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้แคลอรี่ถูกเผาผลาญไม่หมด หลงเหลืออยู่ในร่างกายเป็น “ไขมัน” และกลายเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ความสามารถการเรียนลดลง
มีงานวิจัยหนึ่งที่ทดลองในนักเรียนแพทย์ 100 คน โดยพบว่านักเรียนที่ไม่ได้กินข้าวเช้ามีผลการเรียนที่แย่กว่านักเรียนที่กินข้าว ด้วยความที่ข้าวเช้าเป็นแหล่งพลังงานสำคัญให้ทั้งร่างกายและสมองก่อนเริ่มวัน การไม่กินมื้อเช้าเลยสามารถส่งผลทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่นัก อันจะส่งผลทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง และพ่วงไปถึงเกรดผลการเรียนได้ในที่สุด
ไม่มีเรี่ยวแรงเท่าคนที่กินข้าวมา
การกินมื้อเช้านั้นทำให้เรามีแรง จากกระบวนการย่อยอาหารเป็น “สารอาหาร” ไปเลี้ยงตามร่างกายและสมองเป็นเชื้อเพลิง เพราะฉะนั้นพอไม่ได้กิน การเคลื่อนไหวร่างกายจะมีได้น้อยลงตามไปด้วย ซึ่งอาจจะทำอะไรได้ลำบากขึ้นเวลาต้องออกแรงหรือใช้ร่างกายเยอะ
สภาพอารมณ์ไม่ดี
สืบเนื่องจากข้อด้านบนเลย พอคนเราไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความเครียด ความกังวลขึ้นมาได้ รวมไปถึงอารมณ์หงุดหงิดและโกรธได้ง่ายขึ้น เพราะสมองยังไม่ได้ถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่หลังจากตื่นนอน เนื่องด้วยยังไม่มีพลังงานจากสารอาหารนั่นเอง
“สมองเนี่ยมีผลต่อการแสดงอารมณ์ในด้านการคิดวิเคราะห์ก่อนแสดงอารมณ์ออกไป
ถ้าส่วนนี้ยังไม่มีพลังงานหล่อเลี้ยง โอกาสที่จะแสดงอารมณ์แบบไม่ทันตั้งตัวก็จะมีมากขึ้น”
เพิ่มความเสี่ยงของโรคต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน ไมเกรน รวมถึงโรคหัวใจ เนื่องจากการไม่กินข้าวเช้าสามารถส่งผลต่อความดันและระดับน้ำตาลในเลือด
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่การไม่กินมื้อเช้า สามารถส่งผลต่อร่างกายได้มากขนาดนี้เลยทีเดียว วิธีแก้ไขเบื้องต้นหากไม่มีเวลาจริงๆ อาจจะเป็นการ “กินรองท้อง” หรือค่อยๆ “ปรับพฤติกรรมของตัวเองให้กลับมากินข้าวเป็นเวลา ที่ถึงจะนานสักหน่อย แต่ถ้าทำได้ มันจะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวของทุกคนอย่างแน่นอน!
อ้างอิงข้อมูลจากhttps://www.verywellhealth.com/nutritional-impact-of-skipping-breakfast-5191401Javaid, A. & Munir, I. (2018). Breakfast Skipping And Its Effects On Emotional And Academic Behaviour Of A Group Of Saudi Medical Students. Journal of Nutrition & Food Sciences, 8(6). https://doi.org/10.4172/2155-9600.1000735 Perveen, A., Hamzah, H. B., Ramlee, F., Morgul, E., & Govindasamy, P. (2018). Skipping breakfast and lack of physical activity; contributing factors of depressive symptoms among university students. Inter J Aca Res Business Soc Sci, 8(8), 12-23.Sridevi, G. (2020). EFFECT OF SKIPPING BREAKFAST ON HEALTH – A SHORT REVIEW. PalArch’s Journal of Archaeology of Egypt / Egyptology, 17(7), 1515-1525.
1 ความคิดเห็น