ถอดบทเรียนจากนักบินอวกาศ : เรียนออนไลน์ยังไงไม่ให้ใจพัง

ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนี้ หลายคนยังคงต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่บ้าน เว้นระยะห่างทางสังคม และเรียนกับทำงานผ่านระบบออนไลน์แทน

แต่การอยู่บ้านนาน ๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายไปเสียทีเดียว เมื่อต้องตื่นนอน กินข้าว เรียนหนังสือ ใช้เวลาส่วนตัว อยู่ในพื้นที่จำกัดเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้คนจำนวนมาก เริ่มสัมผัสถึงผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตใจ ที่เริ่มลามไปสู่ปัจจัยด้านอื่นของชีวิตแล้ว

วันนี้ มาลองดูว่านักบินอวกาศ อาชีพที่ไม่สามารถออกไปนอกโลกโดยพลการได้ และต้องอยู่อาศัยในพื้นที่จำกัดเป็นเวลายาวนาน เขามีวิธีอย่างไรในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวกันบ้าง?

กำหนดตารางประจำวัน

สก็อต เคลลี่ อดีตนักบินอวกาศของนาซา เคยใช้เวลานานกว่า 340 วัน เพื่อไปประจำการอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อศึกษาว่าร่างกายและจิตใจของมนุษย์ สามารถปรับตัวเข้ากับการอยู่ในอวกาศเป็นระยะเวลาที่ยาวนานได้หรือไม่

จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้เคลลี่ ค่อนข้างคุ้นชินกับการถูกกำหนดตารางโดยเจ้าหน้าที่บนพื้นโลก ที่แบ่งเวลาแต่ละวันออกเป็นหลักนาที ว่าเขาจะต้องทำอะไรในช่วงเวลาไหนบ้าง ตั้งแต่ตื่นนอน จัดการสุขอนามัยตัวเอง กินข้าว ทำงาน ออกกำลังกาย ใช้เวลาว่าง ไปจนถึงเข้านอนอีกรอบ

แม้อาจฟังดูว่ามันเป็นกรอบที่นำมาครอบจำกัดการใช้ชีวิต แต่เคลลี่กลับมองว่ามันเป็นการช่วยให้เขาสามารถกำหนดช่วงเวลาของสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสมดุล จนแม้จะเดินทางกลับโลกแล้ว เจ้าตัวก็นำการจัดตารางมาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่

#ไม่โหมเกินไป

การอยู่บ้านเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เส้นแบ่งเขตระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวค่อย ๆ เลือนหายไป จากการได้ใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่แต่ในบ้าน จนทำให้ติดลมบนกับงาน หรือโหมหนักกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป และส่งผลให้สูญเสียบาลานซ์ในชีวิต จนเป็นผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพได้เลย

เคลลี่จึงแนะนำว่าให้กำหนดตารางแบ่งไว้ล่วงหน้าเลย ว่าจะทำงานในช่วงเวลาไหน เพื่อที่จะได้ตั้งใจทำให้เรียบร้อย และจะได้มีเวลาว่างไปใช้ชีวิตในด้านอื่น เช่นอย่างในกรณีของนักบินอวกาศรายนี้ แม้เจ้าตัวจะมีภาระงานค่อนข้างนักอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังแบ่งเวลามาดูซีรีส์ Game of Throne แบบยาว ๆ จนจบได้เช่นกัน

นอนให้เป็นเวลา

แม้การอยู่บ้านจะช่วยลดการตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ หรือทำให้สามารถใช้ชีวิตแบบโต้รุ่งได้ง่ายดายขึ้น แต่เคลลี่ได้เน้นย้ำว่า การกำหนดเวลานอนหลับที่แน่นอน ยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็นอยู่

จากการศึกษาช่วงเวลาที่นักบินอวกาศนอนหลับ นักวิทยาศาสตร์พบว่าการนอนหลับพักผ่อนที่มีคุณภาพ คือเข้านอนเป็นเวลา และหลับพักผ่อนได้เพียงพอ (6 ชั่วโมงขึ้นไป) จะมีผลช่วยให้มีการรับรู้ อารมณ์ และปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นที่ดีขึ้นได้ ซึ่งต่างล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับการใช้ชีวิตในช่วงกักตัวบนโลกเป็นอย่างยิ่งเลย

ออกไปนอกบ้านบ้าง

นี่คือคำแนะนำที่อาจฟังดูแปลก โดยเฉพาะกับคนที่ไม่สามารถออกไปสูดอากาศนอกยานได้ แต่เคลลี่ก็เน้นย้ำเลยว่า ถ้าเป็นไปได้ ให้ออกไปเดินเล่นนอกบ้านบ้าง

นั่นเพราะนอกจากจะได้ยืดเส้นยืดสาย ที่เป็นการช่วยดูแลร่างกายแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า การได้สัมผัสกับธรรมชาติและโลกภายนอกแบบนี้ ยังมีผลดีต่อสุขภาพจิตของเราในระยะยาวอีกด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมขนาดอยู่บนอวกาศ บรรดานักบินอวกาศก็ยังเอาเสียงของนกร้อง ลมพัด หรือเสียงธรรมชาติอื่น ๆ ขึ้นไปเปิดสร้างบรรยากาศ และมีการทดลองปลูกต้นไม้ไว้ เพื่อทั้งศึกษาความเป็นไปได้ที่จะปลูกพืชในอวกาศ และให้ได้เห็นสีเขียวของธรรมชาติ กับกลิ่นไอดินที่ไม่อาจหายได้จากนอกโลกนั่นเอง

แม้ในช่วงนี้ บางคนอาจออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่การหาธรรมชาติมาเปิดสร้างบรรยากาศไว้ในห้อง หรือเปิดผ้าม่านกับหน้าต่างมองออกไปสู่โลกภายนอกนั้น ก็คงเป็นเรื่องที่พอช่วยบรรเทาได้ไม่น้อยเลย

หางานอดิเรกทำ

เพราะนอกจากสิ่งที่ต้องทำเป็นชีวิตประจำวันแล้ว การได้หางานอดิเรกใหม่ ๆ มาลองทำในเวลาว่างบ้าง ก็เป็นเรื่องที่สามารถเปลี่ยนวันอันแสนน่าเบื่อ ให้ดูมีสีสันขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ เล่นดนตรี วาดภาพ หรือลองฝึกทักษะใหม่ ๆ ขึ้นมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ก็ช่วยให้ความเครียดในร่างกายของเราลดลง ลดความเสี่ยงที่จะเป็นความดันในเลือดสูง ขณะที่ยังคงระดับความ Productive ในการเรียนหรือทำงานไว้ได้ดีอยู่

ดังนั้นแล้ว การมีงานอดิเรกมาคั่นในแต่ละวัน ก็ถือเป็นตัวช่วยให้ทั้งร่างกายและจิตใจของเราผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้บ้าง และบางคนก็อาจปลดล็อคหรือค้นพบความสามารถที่ซ่อนเร้นไว้ได้เลยด้วย

มีไดอารี่ของตัวเอง

อาจฟังดูเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ แต่จากการศึกษาผลกระทบของการถูกแยกตัวจากโลกภายนอก ที่มีต่อมนุษย์นานหลายทศวรรษของนาซา ได้พบว่าการจดบันทึกเรื่องราวในแต่ละวันของตัวเอง มีผลที่ดีต่อร่างกายของเราได้ไม่น้อยเลย

เคลลี่ได้จดบันทึกสิ่งที่เขาเผชิญในแต่ละวันบนอวกาศ โดยใช้วิธีจดความทรงจำต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับสิ่งที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขา สามารถสัมผัสได้ในแต่ละวัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็ได้ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือของเขาในภายหลัง

แม้หลายคนคงไม่ได้ถึงขั้นนำเรื่องราวตัวเองไปเขียนเป็นหนังสือ แต่การจดบันทึกไดอารี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ก็ช่วยให้เราได้ถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตลงมาสู่มุมมองที่ต่างออกไป รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในวิธีที่รักษาความทรงจำดังกล่าว ให้คงอยู่ต่อไปได้เช่นกัน

พูดคุยกับคนรอบตัว

แม้หลายคนจะต้องอยู่ไกลกันในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะห่างเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่เรารัก แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ก็ทำให้การพบปะพูดคุยกันนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งเคลลี่เองก็แนะนำว่า เราควรหาเวลาว่างในแต่ละวัน เพื่อมาพูดคุยกับผู้คนรอบตัว

แน่นอนแหละว่าภาระงานของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แต่หากสามารถแบ่งช่วงเวลาสักพัก เพื่อให้ได้ถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้น สารทุกข์สุขดิบในแต่ละวัน ก็เป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจและความรู้สึกได้ไม่น้อยเลย

จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคน ที่เราอาจรู้สึกสะดวกใจที่จะพูดคุย ดังนั้นแล้วการเลือกคนที่เราพร้อมจะถ่ายทอด และแบ่งปันสิ่งที่ได้ไปเจอมาตลอดวันนั้น ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อย อย่างคุณเคลลี่ เขาได้เลือกที่จะพูดคุยกับครอบครัว อันประกอบด้วยภรรยาและลูกทั้งสองคนอยู่ทุกวัน และอาจมีการทักทายเพื่อนฝูงบ้างตามโอกาสที่เหมาะสมนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งจากคำแนะนำของสก็อต เคลลี่ ที่ได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิต จากการดูแลโดยนาซา และหน่วยงานอวกาศของรัสเซีย ยุโรป ญี่ปุ่น และแคนาดา ซึ่งได้นำสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ จากการส่งมนุษย์ไปนอกโลกมากกว่า 60 ปี ทั้งข้อผิดพลาดและการสูญเสียต่าง ๆ มาปรับใช้ให้ดีที่สุดอย่างในปัจจุบัน

 

กาลครั้งหนึ่ง มนุษย์เราเคยเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อออกสำรวจไปในที่ที่ห่างไกล แต่ใครจะไปรู้ว่าบทเรียนเหล่านี้ จะได้ถูกนำมาใช้กับผู้คนนับพันล้านทั่วทุกมุมโลก เพื่อนำพาให้พวกเรารอดพ้นจากวิกฤติการณ์ที่ไม่ปกตินี้

 

หวังว่าทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนักบินอวกาศแบบนี้ จะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันนะ

พี่กร

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น