รีวิว Work&Travel ที่ ‘Alaska’ ลุยทั้งงานในครัว-ร้านอาหาร-โรงแรม รายได้ดีแถมภาษาก้าวกระโดด!

สวัสดีค่าชาว Dek-D ทุกคน~ ก่อนอื่นบอกเลยว่าช่วงนี้ Work & Travel มาแรงมากก จากพิษโควิด-19 ทำให้หลายคนอยากไปเจอคุณภาพชีวิตดีๆ และฉีดวัคซีนฟรีที่ต่างประเทศ วันนี้เลยอยากพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์จริงแบบใกล้ชิดติดขอบสนาม กับเรื่องราวของ ‘ชีตาร์’ - พรพระพาย จันทร์ธานี Digital Content Creator แห่งทีม Study Abroad ที่หลายคนคงได้เห็นบทความคุณภาพแน่นของเธอผ่านตากันมาบ้าง พี่ชีตาร์ได้มีโอกาสไปทำงานที่รัฐ ‘อลาสก้า’ ประเทศสหรัฐอเมริกากับโครงการ Work & Travel ในปี 2019 และได้เจอทั้งประสบการณ์ที่สนุกและท้าทายไปในทีเดียว ที่พิเศษมากคือได้ทำงานถึง 4 ตำแหน่งภายใน 4 เดือนเท่านั้น!

อลาสก้าที่ไม่ใช่แค่แดนหิมะ!

เล่าก่อนว่า Work & Travel จะมีเปิด 2 ช่วง คือ ฤดูร้อน (Summer) และฤดูใบไม้ผลิ (Spring) ของเราไปตอนปิดเทอมที่ไทย ซึ่งก็ตรงกับช่วงซัมเมอร์นี่แหละ ตอนนั้นสมัครเพราะเพื่อนชวนไปด้วยกัน แต่ตอนหลังโดนเพื่อนเทซะงั้นเพราะเค้าไม่ได้อยากไปรัฐเดียวกับเรา สรุปคือเราก็โซโล่เดี่ยวเลยค่ะ ก่อนไปมีจ่ายค่าโครงการประมาณ 200,000 บาท เราเลือกอลาสก้า (Alaska) เพราะชอบสัตว์น่ารักๆ แบบน้องหมา เลยอยากไปเจอกับต้าวสิ่งมีชีวิตแบบนี้อีกเยอะๆ ^ ^

อลาสก้าเป็นรัฐที่วิวสวยมากกก เป็นเมืองธรรมชาติ เราเลือกไปทำงานที่ Denali National Park อุทยานแห่งชาติใกล้ๆ เมือง Healy เลยได้เห็นสิงสาราสัตว์เต็มไปหมด แต่บอกก่อนเลยว่าตอนเดินทางไปก็ทรหดไม่แพ้กัน เพราะเดินทางรวมๆ แล้วเกือบ 2 วัน จากกรุงเทพฯ - เกาหลี - ซีแอตเทิล - แฟร์แบงค์ แล้วยังต้องนั่งรถไฟต่อไปที่อุทยานเดนาลิอีก // แต่วิวรถไฟสวยมาก ถือว่าคุ้มค่ะ

ส่วนอากาศผิดคาดสุดๆ จากตอนแรกที่คิดว่าจะหนาวอย่างเดียว ความจริงแล้วทั้งหนาวสุดขั้วและร้อนสุดขั้ว (ร้อนกว่าไทย!) เลยแหละ แถมยังอากาศแห้งๆ จนทำให้เราใส่คอนแทคเลนส์ไม่ได้ด้วย T T แล้วรัฐนี้ก็ขึ้นชื่อว่าไม่เคยหลับไหล แต่ไม่ใช่เพราะเป็นเมืองนะคะ แต่เพราะกว่าจะเริ่มมืดก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว

อากาศร้อนจัด / ฝนตก + หนาว
อากาศร้อนจัด / ฝนตก + หนาว
อลาสก้าในเวลาเที่ยงคืน
อลาสก้าในเวลาเที่ยงคืน

ทำ 4 งาน ประสบการณ์เต็มเปี่ยม!

งานที่ 1: Front Desk Attendant ที่ Denali Crow’s Nest

พวกร้านค้าแถวอุทยานทั้งหมด รวมถึงโรงแรมที่เราไปทำจะเปิดแค่ช่วงซัมเมอร์และไม่มีพนักงานประจำ นั่นแปลว่าทุกคนใหม่หมดค่ะ เค้าจะหมุนเวียนเปลี่ยนคนตลอด หรือถ้านานสุดคือพวก Manager ที่ทำมาได้ 1-2 ปี ทำให้สังคมทำงานของที่นี่เป็นแบบ Multicultural ได้เจอคนหลากหลายชาติสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นคนอเมริกันเองหรือต่างชาติแบบเราก็ตาม

เราเรียนสายภาษามาเลยอยากทำงานที่ได้ใช้ภาษาเยอะๆ เลยเลือกทำงานแรกเป็น Front Desk Attendant พนักงานต้อนรับในโรงแรม เรื่องที่ท้าทายมากคือ การบอกทาง เพราะปกติเป็นคนไม่ค่อยรู้ทิศรู้ทางกัน รวมถึงตัวเราเองช่วงแรกๆ ก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ T-T แต่ด้วยหน้าที่เราคือต้องรอบรู้มากๆ ทั้งคอยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและขายพวกกิจกรรมกับคนที่มาพัก ทำให้เราต้องแอคทีฟและปรับตัวเยอะ สุดท้ายเลยไปคุยกับหัวหน้าว่ามีปัญหานี้ เค้าก็เข้าใจและบอกให้เราไปศึกษาเพิ่มเติมจาก brochure เกี่ยวกับสถานที่ในละแวกนั้น พอผ่านไปสักพักก็ทำได้ดีขึ้นและจำข้อมูลสำคัญได้ค่ะ

แต่ทำอยู่ประมาณ 1 เดือนเราก็ตัดสินใจย้ายงานเพราะเค้าต้องการคนที่สามารถทำได้หลายๆ อย่าง เช่น ขับรถได้ ซึ่งวีซ่า J1 ของเราไม่อนุญาตให้ขับรถหรือทำใบขับขี่ อีกอย่างคืองานต้องทำกะเช้าเท่านั้นเลยไม่ค่อยตรงไลฟ์สไตล์เราเท่าไหร่ 

บรรยากาศที่ทำงาน Denali Crow's Nest
บรรยากาศที่ทำงาน Denali Crow's Nest

งานที่ 2 & 3: Prep Cook และ Line Cook ร้านอาหาร Salmon Bake

งานที่สองได้ไปเป็น Prep Cook หรือคนเตรียมวัตถุดิบในห้องครัวของร้าน Salmon Bake งานนี้เชฟเป็นคนเทรนเราเองกับมือเลย เค้าใจดีมาก ขอ Day off วันไหนก็ได้วันนั้นเลยย แล้วเค้ายังบอกอีกว่าเราเรียนรู้งานไว ทำไปได้ประมาณอาทิตย์นึง ก็ได้เลื่อนขั้นไปทำ Line Cook เป็นคนทำอาหารตามสเตชัน ของเราได้ไปทำสเตชันสลัดกับของหวาน // งานนี้ท้าทายกว่า Prep Cook ตรงที่มันต้องแข่งกับเวลา ออร์เดอร์มารัวๆ ยืนตั้งแต่เข้างานจนถึง 3 ทุ่มถึงค่อยๆ เบาลง T-T

คนด้านขวาคือเชฟร้าน Salmon Bake
คนด้านขวาคือเชฟร้าน Salmon Bake

ถึงงานจะหนักมากกแต่ก็แฮปปี้ เพราะเป็นสังคมที่ชอบ อยู่แล้วอบอุ่น ทุกคนเอ็นดูเราและคอยช่วยเราตลอด (เรียกว่าอบอุ่นจนร้อนเลยแหละ เพราะสเตชันอื่นเป็นเตาอบ/เตาผัดทั้งหมด ความร้อนเลยแผ่ซ่านมาถึงเรา 5555) แต่ปัญหาคืองานไม่ค่อยตอบโจทย์เป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าอยากมาทำงานบริการและฝึกภาษา เพราะงานในครัวก็ไม่ได้ใช้ภาษามากขนาดนั้น ถึงจะรู้สึกผิดต่อหัวหน้าเชฟที่ดีกับเรามาตลอด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหางานใหม่อีกรอบค่ะ

บรรยากาศทำงาน Line Cook ที่ Salmon Bake
บรรยากาศทำงาน Line Cook ที่ Salmon Bake

งานที่ 4: Hostess ที่ Karstens Public House และ Canyon Steak House (Mckinley Chalet Resort)

สำหรับงานที่ 4 เราเปลี่ยนไปทำบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจหลายอย่างมาก มีกิจการทั้งในอเมริกาและแคนาดาเลย (แอบเสียดายที่บริษัทนี้ไม่มีเอเจนซีที่ไทย เลยต้องจัดการติดต่อเองทั้งหมด เล่นเอาเหนื่อย!) เราเข้าไปทำงานตำแหน่ง Hostess หรือพนักงานต้อนรับของร้านอาหารอยู่ 2 ร้าน ที่แรกคือ Karstens Public House วิวดี มี live music และภูเขาเป็นฉากสุดอลังการงานสร้าง ส่วนที่ Canyon Steak House เป็น Fine dining งานนี้ถือว่าสนุกมาก เพราะเราได้รู้จักกับเพื่อนต่างชาติจากบัลแกเรียและฮาวาย เป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทที่สุดแล้วค่ะ

วิวบริษัทใหม่ // ถ้าดูจากภาพอาจดูเล็ก แต่ความจริงขนาดใหญ่เป็นอาณาจักรเลย
วิวบริษัทใหม่ // ถ้าดูจากภาพอาจดูเล็ก แต่ความจริงขนาดใหญ่เป็นอาณาจักรเลย

งานนี้คือตอบโจทย์และได้พัฒนาแบบตรงจุดมากกกก ต้องขอเล่าก่อนว่าที่ Karstens Public House เนี่ยจะเป็นแบบ Walk-in ได้เลยค่ะ (ไม่มีระบบจองล่วงหน้า) ปกติ 1 กะจะมีคนทำประมาณ 3 คนต่อ 3 หน้าที่ ได้แก่ คนที่พาลูกค้าไปนั่งที่โต๊ะ คนที่คอยอัปเดตโต๊ะว่างทางแล็ปท็อป และสุดท้ายเป็นหน้าที่ที่เราทำบ่อยที่สุด ซึ่งก็คือ Waitlist หรือคนที่รันกระบวนการหน้างานทั้งหมด ทั้งรับหน้า เช็กคิว หาโต๊ะให้ลูกค้า โทรติดต่อลูกค้าที่ลงชื่อรอโต๊ะไว้ เป็นงานที่ยากและท้าทายที่สุดแล้ว ทำเอาเรามึนไปเลย เพราะต้องคอยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอยู่บ่อยๆ เช่น เวลาที่โต๊ะไม่ว่าง แล้วต้องรับอารมณ์ลูกค้าที่กำลังรอ บางครั้งเค้าก็จะไม่พอใจว่าเรายังไม่พยายามช่วยหาโต๊ะให้เต็มที่ // ถึงงานจะยากที่สุด แต่ก็ทำให้เราพัฒนาไปเยอะที่สุดด้วยเหมือนกัน

Karstens Public House
Karstens Public House
เพื่อนร่วมงานที่ Karstens Public House
เพื่อนร่วมงานที่ Karstens Public House

ส่วนที่ Canyon Steakhouse จะมีระบบโทรจอง เลยได้เรียนรู้ระบบคอมพิวเตอร์ในการทำร้านอาหาร แต่ความยากคือร้านค่อนข้างเล็ก แล้วลูกค้าบางคนเค้าไม่ได้รู้ว่าต้องจอง ดังนั้นพอโต๊ะเต็ม เราจะต้องเจอปัญหาเรื่องอารมณ์อยู่บ่อยๆ คอยแก้ปัญหาทั้งขอโทษและเสนอ voucher ให้ไปก่อน แต่ถ้ารุนแรงถึงขนาดลูกค้าพูดจาหยาบคายด้วย จะต้องส่งให้ทางเมเนเจอร์คุยต่อค่ะ

ทำงาน Hostess ที่  Canyon Steak House
ทำงาน Hostess ที่  Canyon Steak House

ค่าตอบแทนปังๆ (เหลือกลับมา 70k+) 

ปกติเราจะได้ค่าตอบแทนประมาณชั่วโมงละ 10 ดอลลาร์ หรือ 330 บาท แต่อันนี้ยังไม่รวมทิปอีกนะ ด้วยมารยาทที่อเมริกาต้องให้ทิปเวลาไปกินร้านอาหาร เราก็เลยได้เงินเสริมตรงนี้มาเยอะเหมือนกัน สุดท้ายหักลบค่าใช้จ่ายเหลือประมาณ 70,000 บาทแหนะ ถือว่าคุ้มสุดๆ 

และที่ดีมากคือทุกบริษัทมีสวัสดิการให้พนักงานทุกคน เป็นส่วนลดประมาณ 10% สำหรับร้านอาหารในเครือ ตอนทำงานในครัวก็ได้กินของอร่อยตลอด (เพราะเราสนิทกับเพื่อนร่วมงานด้วย 5555) ตอนทำงาน Hostess มี Starbucks ฟรี บางครั้งเพื่อนที่เป็นพนักงานเสิร์ฟยังใจดีเลี้ยงข้าวเราอีกก ยังไม่หมดๆ ถ้าเก็บแต้มทำงานได้เยอะ เค้าจะมี reward ให้เราไปนั่งเรือยอร์ชฟรีด้วยค่ะ

เงินที่ได้มาวันแรกของการทำงาน / กิน Starbucks ฟรี
เงินที่ได้มาวันแรกของการทำงาน / กิน Starbucks ฟรี

ทำงานจริงครั้งแรก พาโตขึ้นแบบติดสปีด

การไป Work & Travel เป็นประสบการณ์ชีวิตที่เราคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทั้งตอนทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน อย่างเราไปถึงก็เจอเลย เกิดปัญหาเล็กน้อยทำให้ตกรถบริษัทที่มารับไปทำงานวันแรก เลยต้อง Hitchhiking ยืนโบกรถเป็นครั้งแรกในชีวิต! (โชคดีมีเพื่อนอีก 2 คนไปด้วย เลยไม่ได้กลัวมากค่ะ)

ช่วงที่หางานใหม่ก็เหมือนกัน เราต้องทำงานเดิมกับติดต่อบริษัทใหม่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องจัดการทุกอย่างเองหมดเลย แต่ประสบการณ์ที่วุ่นวายๆ พวกนั้นแหละทำให้เราพัฒนาและโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะภาษาที่ได้ฝึกผ่านการทำงานจริงที่ต้องเจออุปสรรคต่างๆ สกิลเลยอัปเลเวลอย่างรวดเร็ว พอกลับมาสังเกตได้เลยว่างาน Front Desk ทำให้เราบอกทางเก่งขึ้นค่ะ ซึ่งต่างจากสมัยไปเรียนต่างประเทศที่คนอื่นต้องพยายามพูดให้เราเข้าใจ แต่ทำงานจริงกลายเป็นเราต้องพยายามสื่อสารให้เค้าเข้าใจแทน

เมื่อก่อนตอนเรียนเราชิลล์มาก รู้ว่าถึงจะหยุดเรียนก็ไม่ได้กระทบคนอื่น แต่พอมาเป็นการทำงานจริงเราจะต้องนึกถึงเพื่อนร่วมงานด้วย ถ้าเกิดเราหายไปงานอาจจะติดขัดหรือไปต่อไม่ได้ ทำให้เราไม่เคยลางานเลย ถึงจะไม่อยากตื่นแค่ไหนก็ต้องลุกไปทำงานให้ตรงเวลา 

อีกเรื่องที่ยากคือ ที่พักไกลจากที่ทำงาน เราเลยต้องตื่นก่อนเวลา 2 ชั่วโมงเพื่อขึ้นบัสที่มาเป็นรอบๆ ทุก 1 ชั่วโมงให้ทัน ถ้าเราทำงาน 9 โมง ต้องตื่นตั้งแต่ 7 โมงเป็นอย่างต่ำ (งานที่ 1) จากประสบการณ์นี้ทำให้เราเรียนรู้ที่จะหาอะไรที่เข้ากับตัวเอง ลองเปลี่ยนมาทำงานกะบ่ายแทนสำหรับงานที่ 2-4 เข้างานประมาณ 3-4 โมง และเลิกประมาณเที่ยงคืนค่ะ ซึ่งเวิร์กมากกว่าสำหรับเรา

และสุดท้ายไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือประสบการณ์นี้ทำให้เรารู้สึกขอบคุณคนรอบข้างมากๆ อย่างเช่นน้าคนไทยที่รู้จักและแม่ยายของเค้าที่คอยช่วยเหลือเราตลอดตั้งแต่มารับที่สนามบิน จนตอนขึ้นรถไฟกลับก็ยังมาส่งด้วย หรือตอนที่เราลำบากต้องหาที่พักใหม่ น้าคนไทยก็ให้เราย้ายไปอยู่ที่พักของบริษัทเค้าได้ // ซาบซึ้งสุดๆ เลยค่ะ T-T

อลาสก้า ดินแดนแห่งสัตว์น้อยน่ารัก

เราแฮปปี้กับชีวิตที่นี่มากกก อลาสก้ามีความ dog-friendly สุดๆ เจอน้องหมาอยู่ทุกที่เลย น้องสามารถเข้าออกได้ตั้งแต่ห้องซักผ้ายันธนาคาร นอกจากนั้นแล้วยังได้เจอกวางมูส ลิงซ์ (แมวป่า) และหมีด้วย 

น้องหมาที่ห้องซักผ้าและธนาคาร
น้องหมาที่ห้องซักผ้าและธนาคาร
ป้ายเตืิอนเวลามีสัตว์มาแถวที่พัก
ป้ายเตืิอนเวลามีสัตว์มาแถวที่พัก

แต่สัตว์ธรรมดาที่ทำตัวแปลกๆ ก็มีนะ เช่น กระต่ายที่นี่ชอบกระโดดตัดหน้ารถอยู่บ่อยๆ จนโดนรถชน มีวันนึงฝนตกหนักแล้วเรากำลังจะเดินกลับที่พัก เจอน้องกระต่ายกำลังจะข้ามถนน แล้วมีรถบรรทุกวิ่งมาพอดี คิดว่าต้องโดนแล้วแน่ๆ แต่สรุปนางเร่งฝีเท้ารอดชีวิตไปได้เฉยเลย โล่งเลยค่ะ 55555

ตะลุยกิจกรรมสายธรรมชาติ

ด้วยความที่อลาสก้าแยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่ และตอนนั้นเราต้องรีบกลับไปเรียนต่อที่ไทย ก็เลยไม่ได้ตะลอนเที่ยวไหนหลังทำงานเสร็จแบบคนอื่นๆ แต่ก็ได้ไปทำหลายกิจกรรมเจ๋งๆ ที่คิดว่าคงไม่ได้ทำที่ไทย เช่น พายเรือ ปีนเขา และล่องแก่ง

Raft Adventure: ล่องแก่ง
Raft Adventure: ล่องแก่ง
Cantwell, Mt. Mckinley
Cantwell, Mt. Mckinley

แล้วที่ประทับใจสุดคือได้ไปเช็ก Bucket list โหแบบชีวิตคอมพลีตมากก อย่างที่บอกว่าเรารักหมา ก็ไม่พลาดไป Sled-dog tour จองทัวร์สุนัขลากเลื่อนที่เมือง Cantwell ไปแบบลุยเดี่ยวนี่แหละค่ะ แฮปปี้มากกก บางคนคิดว่าการนั่งให้น้องลากเลื่อนจะเป็นการทำร้ายหมา แต่จริงๆ น้องมีความสุขและบ้าพลังแบบเห็นได้ชัด แถมยังอยากถูกเลือกให้ไปเลื่อนด้วยค่ะ ใครมีโอกาสไปอลาสก้า พลาดไม่ได้เลยนะคะ น้องน่ารักจริงๆ~ > <

น้องหมาลากเลื่อนที่เมือง Cantwell
น้องหมาลากเลื่อนที่เมือง Cantwell

ทิ้งท้ายถึงว่าที่ Work & Travel ณ อลาสก้า

  • แนะนำให้ทุกคนเตรียมไปทั้งเสื้อผ้าหน้าร้อนและหน้าหนาว ตอนนั้นเราเองเตรียมไปแค่เสื้อผ้าหนาๆ  เช็กให้ดีด้วยว่าจะไปทำงานประเภทไหน ต้องใส่ยูนิฟอร์มหรือมีระเบียบชุดทำงานยังไงบ้าง อย่างของเราคือต้องใส่ยูนิฟอร์มด้านบน แล้วเตรียมกางเกงสีดำไปเองค่ะ
  • ที่นี่เป็นโซนอุทยาน ทำให้ไม่มีของใช้ในชีวิตประจำวันขายมากนัก ส่วนใหญ่มีเป็นร้าน gift shop ขายของที่ระลึก หรืออุปกรณ์ปีนเขา ฯลฯ ถ้าจำเป็นต้องใช้อะไรให้เตรียมไปจากบ้านเองดีกว่า (ถึงค่าครองชีพจะสูง แต่เราไม่ค่อยเสียเงินเพราะไม่ค่อยมีอะไรให้ซื้อ 555)
Three Bears ซูเปอร์มาร์เกตเดียวที่มีแถวนั้น
Three Bears ซูเปอร์มาร์เกตเดียวที่มีแถวนั้น
  • เวลาหางานไม่ต้องหอบกันไปหลายคนนะ เพราะเค้าอาจจะมองว่าเราไม่ independent มากพอ แนะนำให้เข้าไปคุยกับเค้าตรงๆ จะเพิ่มโอกาสได้งานมากกว่าติดต่อทางออนไลน์ค่ะ // แต่อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทด้วยนะ ถ้าบริษัทใหญ่หน่อยอาจต้องสมัครทางเว็บไซต์ก่อน

สุดท้ายแล้วใครที่อยากไป W&T ทุกคนควรจะตั้ง goal แล้วไปถึงจุดนั้นให้สำเร็จ อย่างที่เล่าไปว่าเราตั้งใจไปหาประสบการณ์กับฝึกภาษา ก็เลยพยายามมองหางานที่ตอบโจทย์ พองานแรกยังไม่ใช่ ก็หาใหม่จนเจอ Hostess ที่พาเราเช็กลิสต์ goal ได้สำเร็จ! ถ้าใครมีโอกาสอยากแนะนำให้ลองมาสัมผัสประสบการณ์รูปแบบนี้สักครั้งเพราะมันดีมาก เงินดีด้วย นี่ถ้าไม่ติดโควิดคงจะหาโอกาสไปทุกปีเลย ถึงจะต้องจ่ายค่าโครงการและมีค่าใช้จ่าย สุดท้ายก็ยังเหลือเยอะอยู่ดีค่ะ :)

……...

อย่างที่พี่ชีตาร์ได้เล่าไป ใครสายธรรมชาติ รักสัตว์ อลาสก้าอย่างกับแดนสวรรค์เลยใช่มั้ยคะ นอกจากวิวสวย กิจกรรมสนุก ประสบการณ์ทำงานก็เลิศไม่หยุดจริงๆ ชาว Dek-D คนไหนกำลังจะไปทำงานต่างประเทศก็อย่าลืมเช็กรายละเอียดเกี่ยวกับรัฐที่จะไปดีๆ ทั้งสภาพอากาศจนไปถึงการเดินทางด้วยนะคะ จะได้เตรียมตัวกันถูกก // ไปถึงแล้วขอให้ทุกคนได้ประสบการณ์ดีๆ กลับมาอย่างที่หวังนะคะ!

ติดตามบทความดีๆ ของพี่ชีตาร์กันต่อได้ที่ด้านล่างเลยค่า

อ่านบทความพี่ชีตาร์

 

พี่เมนี่
พี่เมนี่ - Columnist ปัจจัย 3 ในการดำรงชีวิต: ดูซีรีส์ กิน ชอปปิง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด