ทำตามง่ายมาก! รวม 6 เคล็ด(ไม่)ลับอัปสกิลภาษาอังกฤษ ‘ฉบับเด็กขี้เกียจ’ ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องเรียน

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ทุกคน แม้ว่าในปัจจุบันภาษาอังกฤษจะถูกใช้อย่างกว้างขวางในสังคมโลก แต่ก็ยังมีหลายๆ คน ที่รู้สึกว่าการฝึกภาษามันช่างยากเย็นและดูน่าเบื่อเหลือเกินนน หลายครั้งที่คนบอกว่าก็แค่พูดออกไปไม่ต้องกลัวผิดหรอก แต่สำหรับบางคนมันก็ยากนะ ยิ่งถ้าเป็น perfectionist (อย่างเช่นพี่เมนี่เอง) บอกเลยว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นเลยค่ะ แถมบางครั้งถึงกับทำให้เสียกำลังใจไปเลย T^T 

ความจริงแล้วการเรียนภาษานั้นไม่ได้มีวิธีตายตัว แต่ถ้าจะให้ดีพี่เองก็อยากแนะนำให้ทุกคนลองหาวิธีฝึกที่เข้ากับเราที่สุด และพยายามดึงสิ่งรอบข้างเข้ามามีส่วนช่วย จากตอนแรกแค่ท่องศัพท์ เรียนแกรมมาร์ไปวันๆ ก็อาจทำให้เราอัปสกิลไปแบบไม่รู้ตัวเลยล่ะ!  ว่าแล้วพี่เมนี่เลยอยากจะมาแชร์ 6 เคล็ดลับดีๆ พร้อมคำแนะนำมีประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญ TED บอกเลยว่าถึงจะไม่ใช่คนขยันแต่ถ้าฝึกทุกวันก็ on the next level ได้เลย จะมีทริกอะไรบ้าง เลื่อนลงไปดูแล้วฝึกตามกันได้เลย! 

1. คุยกับตัวเอง (ในหัว!?) ก็ฝึกภาษาได้นะ

น้องๆ คงสงสัยว่าคุยกับตัวเองแล้วจะได้อะไร? เรื่องมันเริ่มมาจากพี่มีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา 1 ปีช่วงมัธยมปลาย และเพื่อนพี่เคยบอกว่าถ้าเราฝันเป็นภาษาไหนได้แปลว่าเราเริ่มชินกับภาษานั้นแล้ว ตอนนั้นก็งงว่าคนเราฝันเป็นภาษาอื่นได้ด้วยหรอ? จากความคิดนั้นทำให้เกิดไอเดียดีๆ ขึ้นมาค่ะ

เชื่อว่าทุกคนคงมีโมเมนต์คุยกับตัวเองอยู่แล้ว แต่ทีนี้ลองเปลี่ยนจากคิดเป็นภาษาไทยมาเป็นภาษาอังกฤษดูสิ ถึงจะตกใจหรืออุทานก็อย่าเผลอเปลี่ยนภาษากลับนะคะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพี่อยากคิดกับตัวเองว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้างนะ ก็จะคิดเป็น ‘What do I have to do today? Laundry, homework, etc.’ หรือเวลาเดินชนอะไรก็จะร้อง ‘Ouch!’ แทนที่จะเป็น โอ๊ย! เป็นต้น ใครอยากเริ่มด้วยคำสั้นๆ ก็ไม่เป็นไรนะคะ นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีด้วยซ้ำ ถือว่าเราได้ทบทวนศัพท์ไปในตัว แล้วพอนานเข้าเราจะแต่งประโยคที่ยาวและซับซ้อนได้มากขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเลยค่ะ 

วิธีนี้จะช่วยให้เราคุ้นชินกับภาษา โทนเสียง และวิธีแสดงออกทางวัฒนธรรมของภาษานั้นๆ มากขึ้น ส่วนพี่เมนี่ขอรีวิวจากประสบการณ์ตรงว่า พอคุยกับตัวเองไปสักพักใหญ่ๆ ก็มีคืนนึงที่ฝันภาษาอังกฤษเฉยเลย ตอนนั้นแหละที่รู้ว่าความพยายามของเราเป็นผลแล้ว! 

Photo by Magnet.me on Unsplash
Photo by Magnet.me on Unsplash

2. เปิด account หลุมขึ้นมาฉอดไฟแลบ!

ขอออกตัวก่อนว่าพี่เป็นคนขี้อาย ทำให้ไม่ค่อยชอบคุยกับคนใหม่ๆ เท่าไหร่ ดังนั้นเลยใช้วิธีสร้าง account โซเชียลนึงขึ้นมาคุยกับตัวเองซะเลย 55555 ด้วยเทคนิคนี้ ถึงน้องๆ คนไหนไม่ชอบเขียนเรียงความยาวๆ น่าเบื่อ ก็ยังเอาไปลองฝึกตามและใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ได้ ในขณะเดียวกันก็ได้เล่นโซเชียลเพลินๆ ไปด้วย ไม่รู้สึกเหมือนกำลังเรียนอยู่แน่นอน และเพราะ account หลุมเป็นที่ที่ไม่มีใครมานั่งจับผิดเหมือนอยู่ในห้องเรียน จะบ่น จะโพสต์ จะพูดอะไรก็ได้ เป็นวิธีฝึกความกล้าในการใช้ภาษาอังกฤษไปพลางๆ ด้วยค่ะ เพราะอย่างที่เค้าพูดกันว่า Practice makes perfect. นะคะน้องๆ!

3. เสพทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ แล้วชีวิตจะเปลี่ยนไป!

อาจจะเป็นวิธีที่คนพูดถึงกันเยอะจนฟังดู cliche (น่าเบื่อจำเจ) ไปบ้าง แต่จริงๆ สำคัญมากๆ เลยค่ะ เพราะ input หรือเวลาเรารับภาษามาจากช่องทางต่างๆ จะได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์ ไวยากรณ์ และวิธีการใช้ภาษานั้นๆ ของเจ้าของภาษาเอง 

ดังนั้นเริ่มแรกเลยคือต้องหาสิ่งที่เราสนใจ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องวิชาการก็ได้ ดูได้ทั้งซีรีส์ ทำอาหาร กีฬา ไอดอล ฯลฯ แล้วกดซับแชนเนลนั้นๆ ไว้ หรือดูจากทางแพลตฟอร์มสตรีมมิงแบบ Netflix หรือ Disney+ ถ้าอยากดูฟรีก็ไปทาง YouTube หรือ TikTok ก็ได้ฝึกเหมือนกันหมดเลยค่ะ

Photo Credit: Mika Baumeister on Unsplash
Photo Credit: Mika Baumeister on Unsplash

หรือถ้าน้องๆ คนไหนไม่ได้อินกับสื่อภาษาอังกฤษล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นสายจีน สายเกาหลี สายญี่ปุ่น น้องก็สามารถฝึกภาษาอังกฤษไปพร้อมกันได้นะ อย่างเช่นพี่เมนี่เองเป็นคนชอบดูซีรีส์เกาหลีมาก เวลาดูก็จะฟังเป็นภาษาเกาหลี และเปิดซับภาษาอังกฤษควบคู่ไปด้วย ได้ฝึกสองภาษาพร้อมๆ กัน และฝึกอ่านได้โดยไม่ต้องดูซีรีส์ฝรั่งด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือช่วยฝึกสกิลอ่านเร็ว ต้องทำเวลาให้ทันก่อนข้อความจะเปลี่ยน เป็นประโยชน์มากโดยเฉพาะคนที่เตรียมไปสอบวัดระดับอย่าง IELTS หรือ TOEFL เพราะต้องบริหารจัดการเวลาทำข้อสอบให้ดีค่ะ

คำแนะนำ

  • ทริกส่วนตัวของพี่คือ เวลาดูยูทูบเบอร์ต่างชาติหรือหนังภาษาอังกฤษ ช่วงแรกจะชะลอความเร็วและเปิดซับไปด้วย เราจะได้จับใจความได้ง่ายขึ้น แล้วพอหูเริ่มชินกับสำเนียงและฟังเก่งแล้ว ก็ลองเร่งสปีด และปิดซับดู วิธีนี้เริ่ดมากๆ สำหรับคนที่เรียนในห้องไม่รู้เรื่อง (หรือติดซีรีส์มากๆ แบบพี่ T T) การเรียนจากประสบการณ์จริงจากสิ่งที่ชอบจะทำให้เราซึบซับภาษานั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
Photo Credit: Mollie Sivaram on Unsplash
Photo Credit: Mollie Sivaram on Unsplash

4. พูดคล่องด้วยการ Mirroring ตัวละครหรือไอดอลในดวงใจ

เมื่อเรามี input แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ output ซึ่งทำได้ด้วยการ Mirroring หรือฝึกพูดสะท้อนกลับไปตามที่เราได้ยิน ด้วยการก๊อบปี้ลักษณะการพูดและการแสดงออกทางวัฒนธรรมของคนประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะพูดตามเฉยๆ หรือพากย์เสียงเล่นๆ ก็จะช่วยทั้งเรื่อง Pronunciation(การออกเสียง) และสกิลพูดให้คล่องเหมือน Native Speaker มาเอง 

น้องๆ จะสังเกตได้ว่าคนที่เป็น Multilingual หรือ Polyglot ที่สามารถพูดได้หลายภาษานั้น เขาจะแสดงอากัปกิริยาที่ต่างกันไปตามวัฒนธรรมภายใต้ภาษานั้นๆ ด้วย ยกตัวอย่างจากคลิปนี้ของ ‘อารอน’ วง NU’EST ที่เกิดและเติบโตที่อเมริกา เวลาพูดภาษาอังกฤษเค้าจะดูมีความมั่นใจขึ้นมาทันทีตามสไตล์อเมริกัน แต่พอสลับมาพูดภาษาเกาหลีก็จะซอฟต์ลงอย่างเห็นได้ชัด (อาจเพราะคุยกับเหล่าพี่ๆ ที่อายุมากกว่าด้วย) ซึ่งถ้าเราฝึกทำตามทั้งน้ำเสียง รวมถึงใส่อินเนอร์แบบเจ้าของภาษาไปด้วยก็ยิ่งช่วยฝึกภาษาได้ตรงแบบฉบับไปอีก 

 ใครที่ชอบ K-POP ก็ยังมีไอดอลอีกหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษเก่งๆ หรือใช้เป็นภาษาแม่เลย อย่างเช่น ‘มาร์ค ลี’ ที่เป็นฉบับสำเนียงแคนาดา หรือ ‘จอห์นนี่-NCT’ ที่มาพร้อมสำเนียงอเมริกันแนะนำให้น้องๆ ลองตามไปดูคลิปต่างๆ แล้วฝึกพูดตามได้เลยค่า รับรองว่าการฝึกภาษาและสำเนียงก็จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เหมือนได้เรียนจากไอดอลในดวงใจกันแบบฟินๆ!

5. บอกลาภาษาไทย ปรับโหมดใหม่เป็น All English!

หากน้องๆ อยากอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาใดก็ตาม  ให้ลองหยิบโทรศัพท์ หรือแท็บเล็ตมาเปลี่ยนเป็นโหมดภาษาที่อยากฝึกให้หมดเลยค่ะ เพราะอย่างที่รู้กันว่าโทรศัพท์เหมือนเป็นอวัยวะที่ 13 ในยุคนี้ไปแล้ว ดังนั้นของใกล้ตัวนี้จะช่วยบังคับให้เราเรียนรู้คำศัพท์และฝึกความคุ้นชินตลอดเวลา ได้ทั้งศัพท์พื้นฐานและศัพท์ทางเทคนิคเน้นๆ พอมาเจอในชีวิตประจำวันหรือข้อสอบก็จะนึกออกได้ไม่ยากเลยค่ะ  

Photo Credit: Bagus Hernawan on Unsplash
Photo Credit: Bagus Hernawan on Unsplash

 6. สื่อสารแบบมือโปรด้วย ‘การฝึกภาษาให้เหมือนกับเล่นวิดีโอเกม’

ใน TED Talk ของคุณ Marianna Pascal เธอได้แนะนำไว้ว่าการเรียนภาษาสิ่งที่สำคัญคือ ‘ทัศคติที่เรามีต่อการเรียน’ เราควรสนุกและ enjoy ไปกับมัน ควรฝึกพูดภาษาให้เหมือนเล่นวิดีโอเกม เพราะเวลานั้นเราจะโฟกัสกับสิ่งตรงหน้ามากๆ

เธอยกตัวอย่างประสบการณ์จริงที่ไปเจอมาว่าเด็กที่นั่งข้างเธอในร้านเกมกำลังเล่นเกมยิงปืน ถึงจะไม่ได้เล่นเก่งนัก แต่ก็ยังโฟกัสกับการยิงคู่ต่อสู้ตรงหน้า ไม่ได้รู้สึกตัวเองไม่เก่งหรือมัวแต่เขินอายเพื่อนที่ยืนรายล้อมดูเค้าเล่นเกมอยู่ คุณ Pascal เห็นแล้วจึงฉุกคิดขึ้นมาว่าสถานการณ์นี้ก็ไม่ได้ต่างจากการฝึกภาษาเลย แทนที่จะโฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองพูดหรือเอาแต่สังเกตจุดผิดพลาดจนไม่กล้าพูดต่อ ให้ลองเปลี่ยนจุดสนใจมาอยู่ที่คู่สนทนาแทน เน้นสื่อสารให้เค้าเข้าใจก่อนเป็นอย่างแรก 

พอเราเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ได้แล้ว เมื่อมีความกล้ามากขึ้น ก็ค่อยขยับไปเรียนรู้เรื่องไวยากรณ์ให้แน่น ภาษาอังกฤษเราจะได้ปังปุริเย่มากขึ้นไปอีกค่ะ

…….

จบไปแล้วค่าสำหรับ 6 เคล็ดลับฝึกภาษาอังกฤษแบบเด็กขี้เกียจที่ทำตามได้ง่ายๆ ไม่ต้องเครียดเลย พี่อยากให้น้องๆ รู้ว่าการจะเก่งภาษาได้มันไม่มีทางลัดตายตัว แต่มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการฝึกฝนของเราในแต่ละวัน เทคนิคที่เรายกมาวันนี้เองก็เป็นวิธีที่จะค่อยๆ ทำให้เราชินและซึบซับกับภาษาจากชีวิตประจำวัน น้องๆ ลองเอาไปทำตามกันดูได้เลยนะคะ หวังว่าจะทำให้ทุกคนใช้เวลาได้อย่างมีประโยชน์มากขึ้น (และไม่ต้องรู้สึกผิดว่าทำไมเราไม่ไปอ่านหนังสือ 5555) รวมทั้งได้เล่นสนุกกับภาษาอังกฤษไปด้วย ~

 

Sources:https://www.cambridge.org/elt/blog/2017/12/19/the-importance-of-input-in-the-elt-classroom/ https://www.youtube.com/watch?v=zgbQk8Uculo&t=169s&ab_channel=tvNDENThttps://www.youtube.com/watch?v=0TinKW3HJ7Y&ab_channel=%EC%B1%84%EB%84%90NCTDAILY https://www.youtube.com/watch?v=Ge7c7otG2mk&ab_channel=TEDxTalks 
พี่เมนี่
พี่เมนี่ - Columnist ปัจจัย 3 ในการดำรงชีวิต: ดูซีรีส์ กิน ชอปปิง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

3 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด