สวัสดีค่ะชาว Dek-D หลายคนทั้งวัยเรียนและวัยทำงาน คงเคยมีช่วงที่รู้สึกทำงานหนักมากกกกจนต้องหยุดพักหรือหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายใช่มั้ยล่ะคะ แต่สำหรับบางคนนั้น การจะดึงตัวเองออกจากงานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเขามักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปถ้าไม่ได้ขลุกกับงานตลอดเวลา แถมปัดตกเรื่องอื่นในชีวิตที่ไม่เกี่ยวกับงานไปซะหมด!
พฤติกรรมเสพติดการทำงานนี้เรียกว่า ‘Workaholic’ ค่ะ หลายคนมีความเชื่อว่าหากมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานอย่างหนัก(มากๆ) ก็มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น...ความเชื่อนี้จริงหรือไม่? แล้วแบบไหนที่เข้าข่าย Workaholic? เลื่อนลงมาอ่านต่อกันเลยค่ะ
รู้จัก Workaholic กันก่อน
คำว่า Workaholic คิดค้นขึ้นเมื่อปี 1971 โดยนักจิตวิทยาชื่อ Wayne E. Oates ใช้อธิบายพฤติกรรมของคนที่หมกมุ่นกับเรื่องงานอยู่ตลอดเวลาจนไม่สามารถควบคุมได้
และพฤติกรรมที่ว่านี้เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางความรู้สึก ทำให้คิดวนเวียนแต่กับเรื่องงาน ถ้าหยุดทำสักหน่อยก็รู้สึกผิดแล้ว ซึ่งจะต่างกับคนที่ทำงานระยะเวลานานๆ (Working long hours) นะคะ เพราะคนกลุ่มหลังนี้จะไม่ได้รู้สึกหมกมุ่นกับงาน พอเลิกงานก็ไม่เก็บเรื่องงานมาคิดต่อ สามารถทำกิจกรรมอื่นได้โดยไม่รู้สึกผิด และต่อให้งานหนักก็ยังปรับสมดุลในการใช้ชีวิตได้
เปิดลิสต์ 7 สัญญาณอันตราย!
เรากำลังเป็น Workaholic หรือเปล่า?
วันนี้พี่มายมิ้นท์เลยขอยกบทความของ Forbes ที่แบ่งระดับพฤติกรรมการเสพติดการทำงานออกเป็น 7 แบบ มาให้ทุกคนได้เช็กตัวเองกัน! ใครอ่านแล้วรู้สึกใกล้เคียงเกินครึ่งหรือเกือบเต็ม นั่นหมายความว่าคุณอาจเข้าข่ายเป็น Workaholic แบบรุนแรงแล้วค่ะ (แถมบางคนก็เป็นโดยไม่รู้ตัวด้วย) ตามไปดูกันดีกว่าอันไหนใช่เราบ้าง?
- คุณมักจะครุ่นคิดว่าจะทำยังไงให้มีเวลาทำงานให้เยอะขึ้น
- คุณใช้เวลาไปกับการทำงานมากกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ถ้าคุณเป็นพนักงานออฟฟิศที่มีระยะเวลาทำงานปกติ 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่คุณมักจะทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงอยู่เสมอ
- เมื่อไม่ได้ทำงาน คุณจะเครียด หดหู่ รู้สึกผิดหรือคิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์
- คนรอบตัวแนะนำให้คุณลดเวลาทำงานลง แต่คุณไม่อยากทำตาม
- คุณรู้สึกเครียดมากเมื่อมีปัจจัยอื่นมาขัดขวางการทำงานของคุณ
- คุณไม่มีเวลาสำหรับงานอดิเรก การออกกำลังกาย และไม่มีเวลาว่างเพราะสำหรับคุณ ‘งานต้องมาก่อนเสมอ’
- คุณทำงานจนเกิดปัญหาสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจอย่างหนัก เช่น เกิดโรคประจำตัวหรือโรคซึมเศร้าจากการทำงาน
อยากรู้มั้ย? อะไรทำให้คนเป็น Workaholic
1. ปัจจัยจากตัวเอง
ชาว Workaholic ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าตัวเองเสพติดการทำงาน โดยคนกลุ่มนี้ชอบทำงานหนักๆ เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชอบความรู้สึกที่ได้สร้างสรรค์ผลงาน เสพติดการประสบความสำเร็จ พูดง่ายๆ คือคนกลุ่มนี้มีเป้าหมายไว้พุ่งชนเท่านั้น! และจะวางเรื่องงานไว้เป็นอันดับ 1 เสมอ ปัดตกเรื่องอื่นในชีวิตที่จะทำให้เสียเวลาทำงานไปเสียหมด
2. ปัจจัยจากภายนอก
เมื่อก่อนอาจไม่ได้เป็นคนไฟแรง แต่เวลาผ่านไปกลายเป็นคนเสพติดงานตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หลักๆ ก็จะมาจาก 2 ปัจจัยคือเศรษฐกิจและสังคมที่เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดนั่นเองค่ะ
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ: ลองนึกดูว่าในโลกทุนนิยมที่ทุกๆ อย่างขับเคลื่อนด้วยเงิน ผู้คนต่างก็ต้องขวนขวายเอาตัวรอดให้ได้ ‘เงิน’ จึงเป็นสิ่งที่ ‘ขาดไม่ได้’ แต่จะทำยังไงให้เรามีเงินเยอะๆ ล่ะ? คำตอบก็คือต้องทำงานยังไงล่ะคะ เมื่อเริ่มต้นที่คำว่า ‘ทำงานเพราะอยากรวย’ หลายคนก็เริ่มที่จะหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องงาน งาน และงาน! พอหันกลับมาอีกทีก็กลายเป็นคนเสพติดงานไปซะแล้ว T^T
ปัจจัยด้านสังคม: เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็นโควตเด็ดๆ ที่ชาวเน็ตกระหน่ำแชร์กันเช่น ‘คนเราไม่ควรมีรายได้ทางเดียว จะต้องมีทั้ง active income และ passive income’ หรือ ‘อายุ 25 ควรมีเงินเก็บเกิน 1ล้านบาท ควรมีรถ มีบ้าน มีเงินลงทุน แต่งงานมีครอบครัว ฯลฯ’ กันใช่มั้ยล่ะคะ? อ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง? พี่มายมิ้นท์คิดว่าข้อความแบบนี้สร้างแรงบันดาลใจให้บางคน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างมายาคติให้แก่สังคม เพราะการที่คนนึงจะทำสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่ 100% ที่จะทำได้ตามนี้
อย่างในกรณีเด็กจบใหม่บางคนที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่ถึงปี พอถึงวันนัดเจอเพื่อนฝูง ทุกคนกลับเอาแต่พูดเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องความก้าวหน้า กลายเป็นความกดดันให้คุณรู้สึกว่าต้องวิ่งตามค่านิยมของคนในสังคม ถ้าไม่แพ้อยากแพ้ก็ต้องสู้ ทำงานให้หนักเข้าไว้ เป็นเหตุผลที่บางคนเริ่มเสพติดการทำงานในที่สุดค่ะ TT
ผลกระทบจาก Workaholic ที่ไม่ควรมองข้าม!
ทำงานหนักเกินไป = ทำร้ายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว
งานวิจัยจาก Kansas State University บอกว่าคนที่เป็น Workaholic มีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า! ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นพนักงานออฟฟิศที่เข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น แต่คุณดันเป็นคนเสพติดการทำงาน เพราะงั้นกว่าจะเลิกงานก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่ม แถมบางคนก็ขนงานกลับไปทำต่อที่บ้านอีกต่างหาก ยอมนอนวันละ 3-4 ชั่วโมงเพื่อให้งานเสร็จตามกำหนด
พอนอนน้อยติดต่อกันนานๆ และไม่มีเวลาออกกำลัง บวกกับการไม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน (สังเกตว่าคนบ้างานส่วนใหญ่จะชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ด จะได้ไม่เสียเวลาทำงาน) ผลคือเกิดโรคประจำตัวทั้ง โรคไมเกรน ออฟฟิศซินโดรม ความดันโลหิตสูง โรคไขมันเกินในเส้นเลือด ตามมาด้วยโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต เรียกได้ว่ามากันเป็นแพกเก็จเลยล่ะค่ะ
ไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพกายเท่านั้น แต่ ‘สุขภาพจิต’ ก็พังไปตามๆ กัน เพราะชาว Workaholic ส่วนมากไม่สามารถหลีกเลี่ยง ความเครียดจากการทำงาน (Occupational stress) ได้ เมื่อเกิดความเครียดสะสมหนักเข้าก็ส่งผลให้เป็นโรคเครียด โรควิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) บางคนเครียดรุนแรงจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็มีค่ะ
ที่จริงแล้วพฤติกรรมที่เข้าข่าย Workaholic ไม่ได้มีแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่น้องๆ วัยเรียนคนไหนที่เสพติดการเรียนหรือเคร่งเครียดอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมพักผ่อน ก็เรียกว่าเป็น Workaholic ได้เช่นกันค่ะ ยังไงก็ตามการทำอะไรหนักหน่วงเกินลิมิตก็ส่งผลให้สุขภาพพังได้ในเวลาสั้นๆ // ใครที่กำลังทำแบบนี้อยู่ต้องรีบแก้ไขด่วนเลยนะคะ
Money-rich, time-poor: เมื่อเวลาสวนทางกับเงิน!
ใช้เรียกปรากฏการณ์ ‘มีเงินแต่ไม่มีเวลา’ ซึ่งเกิดในหมู่คนทำงานช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และมีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ปรากฏการณ์นี้เป็นผลจากการเป็น Workaholic ที่ทำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตด้านอื่น ไม่มีเวลาพบปะคนรอบตัว ไม่มีเวลาออกไปทำกิจกรรม ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ และไม่มีเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลายเลย แต่สิ่งที่กลับเพิ่มขึ้นคือ ‘เงิน’ ที่ได้จากการทำงานเพียงอย่างเดียว
แต่สำหรับประเทศที่เศรษฐกิจตกต่ำและมีค่าแรงขั้นต่ำสวนทางกับค่าครองชีพนั้น ชีวิตคนทำงานน่าเศร้ามากกว่านี้ซะอีกค่ะ เพราะมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Money-poor, time-poor’ คือไม่มีทั้งเงินและเวลาเลย ต่อให้เป็น Workaholic ทำงานไม่มีวันหยุดเลยก็ตาม แต่เงินที่ได้มาก็ยังไม่พอใช้จ่ายในชีวิตประจำอยู่ดี ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ประชาชนไม่สามารถแก้ไขเองได้ // อ่านแล้วหดหู่ใจเลยล่ะค่ะ
หยุดนิสัย Workaholic ก่อนจะสายเกินแก้!
นักจิตวิทยากล่าวว่า สังคมควรมองปัญหา Workaholic ให้เหมือนกับอาการติดสุรา (Alcoholism) ซึ่งผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้จะต้องได้รับการรักษาตามขั้นตอนทางการแพทย์ แต่น่าเสียดายที่แต่ละประเทศยังไม่มีนโยบายแก้ไขเรื่องนี้โดยตรง
ถึงอย่างนั้นการแก้พฤติกรรม Workaholic ก็ทำได้ด้วย 2 วิธี ดังนี้
- ปรับเปลี่ยนการทำงานเป็นแบบ Work-life balance : หลายคนคงเคยคุ้นหูคำนี้มาบ้างแล้วใช่มั้ยคะ คำนี้เป็นสไตล์การทำงานแบบ ‘ทำงานให้สมดุลกับชีวิต’ โดยการบริหารเวลางานให้ดี จะได้มีเวลาเหลือไปใช้ชีวิตของตัวเองด้วย
ยกตัวอย่างเช่น หลังเลิกงานถ้าไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร ก็อย่าขนงานกลับไปทำต่อที่บ้าน ควรทำให้การเลิกงานเป็นการเลิกงานจริงๆ พยายามอย่าคิดหมกมุ่นอยู่กับงานทั้งวันทั้งคืน ส่วนเวลาที่เหลือก็ไปออกกำลังกาย ใช้เวลากับครอบครัว หรือผ่อนคลายตัวเอง ถ้าหากชาว Workaholic สามารถปรับเปลี่ยนเวลาให้สมดุลแบบนี้ได้ ก็จะสามารถแก้ไขอาการเสพติดงานของตัวเองได้อย่างแน่นอนค่ะ
2. Self-awareness ตระหนักรู้ในตัวเอง: การปรับเปลี่ยนจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าคนทำงานไม่ตระหนักว่าการหมกมุ่นกับงานมีผลเสียมากกว่าผลดี ชาว Workaholic บางคนชอบปฏิเสธคำเป็นห่วงของคนรอบข้าง และชอบคิดว่าเราไหว เราโอเค เราจะทำงานต่อไป จนสุดท้ายก็เกิดปัญหารุนแรง ตั้งแต่เกิด ภาวะหมดไฟ (Burn out syndrome) ไปจนถึงการ ทำงานจนตาย (Karoshi)
ดังนั้นจึงควรสังเกตพฤติกรรมตนเอง แล้วพยายามทำใจยอมรับว่าเรากำลังกดดันมากเกินไป ทำงานหนักเกินไป แบบนี้ก็จะช่วยให้ชาว Workaholic วางแผนการทำงานได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
พี่มายมิ้นท์ก็มีคลิปดีๆ จากช่อง TEDx talks ใน YouTube มาฝากทุกคนค่ะ ชื่อคลิปว่า The Lonely Guide of a Workaholic? บรรยายโดย ‘มีนา อิงค์ธเนศ’ นิสิตจากนิเทศฯ จุฬา ผู้ค้นพบว่าความสำเร็จเรื่องการงานหรือการเรียนไม่ได้เป็นจุดสูงสุดของชีวิตเสมอไป เราจะมองหาจุดสมดุลยังไงให้งานประสบความสำเร็จไปพร้อมๆกับรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง บอกเลยว่าคลิปนี้เหมาะสำหรับชาว Workaholic มากๆ เลยค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะกับเนื้อหาจัดเต็มเรื่อง Workaholic หลายๆ คนพออ่านแล้วก็อาจจะเพิ่งรู้ว่าเรากำลังเสพติดงานทำงานแบบไม่รู้ตัวอยู่ ยังไงก็ค่อยๆ ปรับแก้กันไปนะคะ พี่มายมิ้นท์เองก็เคยเป็นคนเสพติดการเรียน แต่ก็สามารถแก้ได้ด้วยการเปิดใจยอมรับแล้วหาจุดบาลานซ์ให้เจอว่าชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องเรียนเท่านั้น พอแก้ไขได้ชีวิตก็แฮปปี้ขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ “เราต่างก็ใจดีกับคนอื่น แต่อย่าลืมใจดีกับตัวเองและรักตัวเองในทางที่ถูกต้องด้วยนะคะ”
Sources:https://unsplash.com/photos/T5lmpSYxnSUhttps://unsplash.com/photos/hko-iWhYdYEhttps://unsplash.com/photos/3I2vzcmEpLUhttps://unsplash.com/photos/YJdCZba0TYEhttps://unsplash.com/photos/UmV2wr-Vbq8https://www.forbes.com/sites/amymorin/2014/09/18/7-signs-you-may-be-a-workaholic/?sh=784a210370d7https://hbr.org/2018/03/how-being-a-workaholic-differs-from-working-long-hours-and-why-that-matters-for-your-healthhttps://unsplash.com/photos/SAYzxuS1O3Mhttps://unsplash.com/photos/WUmb_eBrpjs
0 ความคิดเห็น