รู้จัก ‘GED’ การสอบเทียบเท่าม.ปลาย พร้อมเปิดวาร์ปมหา’ลัยต่างประเทศที่รับวุฒิ GED

สวัสดีค่ะชาว Dek-D เคยมีใครสงสัยไหมว่าทำไมคนที่อายุ 17 ปีถึงเข้าเรียนมหาลัยได้ล่ะ หรือบางคนอายุ 16 ก็สอบติดหมอแล้ว แถมไม่ได้ไปโรงเรียนมัธยมแต่ดันมีวุฒิเทียบเท่าม.6 เฉยเลย ถ้าเคยสงสัย..วันนี้พี่ปลื้มจะมาไขข้อข้องใจให้ค่ะว่าเขาทำยังไงกัน รวมถึงพาไปเปิดวาร์ปมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่น่าสนใจมาให้รู้จักกันด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยยย

*บทความนี้อ้างอิงเรตค่าเงิน (อัปเดต มี.ค. 2564)*

1 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) = 30 บาท

••••••••••••••••••••••••

Photo Credit: GED.com
Photo Credit: GED.com

วุฒิ GED คืออะไร? 

อย่างที่ได้เกริ่นไปว่าหลายคนมีวุฒิม.6 ตั้งแต่อายุน้อยๆ เหตุผลก็เป็นเพราะว่าพวกเค้าสอบเทียบหลักสูตร GED นั่นเองค่ะ ซึ่งการสอบ GED (General Educational Development) นั้นคือการสอบเทียบเท่าระดับมัธยมปลายตามหลักสูตรของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เป็นการสอบที่มีไว้ให้นักเรียนที่ไม่ได้จบม.ปลายหรือจบสายสามัญสามารถเข้าสอบเพื่อนำวุฒิไปสมัครเรียนต่อหรือใช้ในการทำงานได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการสอบเทียบเท่าชั้นม.6 นั่นเองค่ะ

เรียนแบบ GED เหมาะกับใครบ้าง? 

  • ผู้ที่เรียนแบบ Homeschool หรือการเรียนที่บ้าน (ทำความรู้จักการเรียนแบบโฮมสคูลคลิกที่นี่ )
  • ผู้ที่เรียบจบสายอาชีพ แล้วต้องการวุฒิเทียบเท่าม.6 เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
  • ผู้ที่ต้องการประหยัดเวลากับค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่ต้องไปโรงเรียนมัธยม ก็สามารถสอบ GED ได้ ซึ่งเสียเงินค่าสอบเพียง 300 USD (ประมาณ 9,000 บาท)
  • มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษดีระดับนึง เพราะข้อสอบทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษ และบางวิชาจำเป็นจะต้องทักษะการอ่านและเขียนวิเคราะห์

*การเรียนแบบ GED นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และอาจไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับทุกคน ดังนั้นหากใครสนใจแนะนำว่าให้ปรึกษากับผู้ปกครอง และวางแผนการเรียนดีๆ ก่อนนะคะ*

Photo Credit: Unsplash.com
Photo Credit: Unsplash.com

คุณสมบัติผู้สอบ GED

  • มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันที่สอบ พ่อแม่หรือผู้ปกครองจะต้องกรอกฟอร์มขอยกเว้นอายุ (Age Exception) แล้วส่งไปที่ help@ged.com หลังจากที่ศูนย์สอบได้รับแบบฟอร์มแล้ว น้องๆ ต้องรอพิจารณา และถ้าได้รับอนุมัติจะได้อีเมลแจ้งหรือตรวจได้ผ่านบัญชี GED ของตนเองค่ะ (Hand out และรายละเอียด คลิกที่นี่)
  • หากอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันที่สอบสามารถสมัครได้เลย ไม่จำเป็นต้องกรอกแบบฟอร์มอายุ

สอบ GED เสียค่าสมัครเท่าไหร่? 

  • วิชาละ 75 USD (หรือประมาณ 2,250 บาท)
  • วิชาที่ต้องสอบมีทั้งหมด 4 วิชา รวมเป็นเงิน 300 USD (หรือประมาณ 9,000 บาท)
  • ค่าใบ GED Diploma and Transcript ใบละ 15 USD (หรือประมาณใบละ 450 บาท)

จะต้องสอบวิชาอะไรบ้าง?

ภาษาอังกฤษ (Reasoning Through Language Arts) 

  • เวลาที่ใช้สอบ 150 นาที
  • ข้อสอบมีทั้งพาร์ตการอ่าน (Reading) และการเขียน (Writing) รวมถึงต้องวิเคราะห์ไวยากรณ์ (Grammar) เลยค่ะ น้องๆ จะได้เจอบทความจากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมถึงวรรณกรรม จากนั้นต้องมาเขียนวิเคราะห์, สรุป และเขียนข้อโต้แย้ง (ประมาณว่ามีหลักฐานอะไรบ้างที่น่าเชื่อถือมากกว่านี้ และอธิบายเหตุผลว่าทำไมต้องสนับสนุนในสิ่งที่เราตอบค่ะ)

คณิตศาสตร์ (Mathematical Reasoning)

  • เวลาที่ใช้สอบ 115 นาที
  • น้องๆ จะได้เจอโจทย์การวัดสมการ และการประยุกต์ใช้แนวคิดทางคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาค่ะ แต่บอกเลยว่าไม่จำเป็นต้องจำสูตรมาเลย เพราะทาง GED เขียนบอกไว้ว่าผู้เข้าสอบจะได้รับแผ่นสูตรที่ทางศูนย์เตรียมไว้ให้ในวันสอบค่ะ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวน้องๆ เองแล้วว่าจะใช้ถูกไหม><
Photo Credit: GED.com
Photo Credit: GED.com

วิทยาศาสตร์  (Science)

  • เวลาที่ใช้สอบ 90 นาที
  • ข้อสอบวิทยาศาสตร์ของ GED ไม่เน้นการท่องจำค่ะ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การอ่านกราฟแสดงผลข้อมูล รวมถึงใช้เหตุผลในการตีความวิทยาศาสตร์ 

สังคมศึกษา  (Social Studies)

  • เวลาที่ใช้สอบ 70 นาที
  • วิชาสุดท้ายก็ยังเป็นแนวประยุกต์ใช้ค่ะ ต้องรู้วิธีอ่านกราฟและแผนภูมิที่แสดงข้อมูลการศึกษาทางสังคมและใช้เหตุผลในการตีความข้อมูล และเขียนสรุปผล
รายละเอียดเพิ่มเติม

คะแนนสอบและใบประกาศ

  • การสอบ GED ให้ผ่าน น้องๆ ต้องได้คะแนนขั้นต่ำ 145 คะแนนขึ้นไปในแต่ละวิชา (GED Pass Score) แต่ในการใช้ยื่นเข้ามหาลัยฯ รัฐ อาจจะต้องใช้คะแนนมากกว่านั้น ซึ่งก็สามารถเช็คได้ตามเว็บมหาวิทยาลัยที่ต้องการเข้าเลยค่ะ
  • 165-174 คะแนน (GED College Ready): ถ้าน้องๆ ได้คะแนนอยู่ในเรนจ์นี้แสดงว่าน้องๆ มีทักษะเทียบเท่ามัธยมปลาย และมีสามารถในการเข้ามหาวิทยาลัย
  • 175-200 คะแนน (College Ready Plus Credit): กลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มคะแนนสูงสุด เป็นคะแนนที่อยู่ในค่าเฉลี่ย 1-8% ของเด็กมัธยมปลายทั่วไป (ถ้าใครได้คะแนนระดับนี้ บางมหาวิทยาลัยอาจจะให้ทุนสำหรับเรียนปีแรกด้วยนะ)
  • เมื่อสอบผ่านแล้วน้องๆ ต้องทำเรื่องขอ GED Diploma and Transcript และจะได้รับเอกสารส่งมาทางอีเมล ถ้าไม่ได้ทำเรื่องขอจะไม่มีเอกสารอะไรส่งมาให้ค่ะ
  • คะแนน GED ไม่มีจำกัดระยะเวลา วุฒินี้จะติดตัวไปตลอดชีวิต
สมัครสอบ GED
ตัวอย่างใบ GED Diploma
ตัวอย่างใบ GED Diploma
Photo Credit: www.washingtondcapostille.com
ตัวอย่างใบ GED Transcripts
ตัวอย่างใบ GED Transcripts
Photo Credit: www.washingtondcapostille.com

GED ก็มีสอบซ่อมนะ

  • การสอบซ่อม: หากเป็นการสอบครั้งที่ 2 และ 3 ในแต่ละวิชา น้องๆ สามารถลงทะเบียนสอบได้เลย แต่การขอสอบซ่อมครั้งที่ 4 เป็นต้นไปจะต้องเว้นระยะห่างจากการสอบครั้งที่แล้วไม่ต่ำกว่า 60 วัน และถ้าหากไม่ผ่านอีกก็ต้องเว้นไปอีก 60 วันเช่นกันค่ะ
  • การสอบใหม่เพื่อให้ได้คะแนนมากกว่าเดิม (สอบผ่านแล้ว แต่อยากได้คะแนนมากขึ้น): ในกรณีนี้ระบบการสมัครจะ ‘ล็อค’  ไม่ให้เราสมัครสอบใหม่ แต่น้องๆ สามารถปลดล็อคได้ด้วยการ ส่ง e-mail ไปที่ operations@ged.com ใส่ข้อมูลพร้อมเหตุผลที่อยากสอบใหม่ หรือโทรไปที่ศูนย์ GED

มหาวิทยาลัยที่รับ GED

จริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยที่เปิดรับ GED นั้นมีเยอะมากกกค่ะ (รวมถึงในประเทศไทยด้วย) ซึ่งน้องๆ ควรอ่านรายละเอียดของแต่ละที่ให้ดีก่อนเพราะจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันออกไป ในวันนี้พี่ปลื้มยกตัวอย่างมหา’ลัยในต่างประเทศที่น่าสนใจมาให้ดูเป็นตัวเลือกสำหรับน้องๆ ที่จบหลักสูตร GED ด้วยค่ะ ตามมาเล้ยย

ออสเตรเลีย (Australia)

Photo Credit: Facebook/University of Melbourne
Photo Credit: Facebook/University of Melbourne

University of Melbourne

University of Melbourne ตั้งอยู่ในเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) รัฐวิคทอเรีย (Victoria) นอกจากเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 โดย QS World University Rankings 2021 ของประเทศแล้วยังได้รับการจัดอันดับ 1 แทบจะทุกสาขาวิชาหลัก ไม่ว่าจะเป็น แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ บริหารธุรกิจ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์ รวมถึงอยู่ใน Group of Eight ของประเทศด้วยค่ะ สุดปังมาก

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย
Photo Credit: Facebook/UNSW
Photo Credit: Facebook/UNSW

The University of New South Wales 

UNSW เป็นส่วนหนึ่งของ Group of Eight เหมือน University of Melbourne และอยู่ในอันดับที่ 44 โดย QS World University Rankings 2021 

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย

 NOTE: The Group of Eight (Go8) คือกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำจากประเทศออสเตรเลีย ส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในออสเตรเลีย ทุกที่เป็นมหาวิทยาลัยที่มี Ranking สูงสุดของประเทศ และอยู่ในอันดับ Top 200 ของโลก มีความโดดเด่นด้านวิจัย และมีมาตราฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล 

ประกอบไปด้วย

- The University of Melbourne

- The University of Adelaide

- The University of Sydney

- The University of Queenslands

- The University of New South Wales

- The University of Western Australia

- Australian National University

- Monash University

••••••••••••••••••••••••

นิวซีแลนด์ (New Zealand)

Photo Credit: Facebook/WaikatoUniversity
Photo Credit: Facebook/WaikatoUniversity

University of Waikato 

Waikato เป็นมหาวิทยาลัยที่รู้จักกันดีในด้านวิชาการค่ะ ติดอันดับ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำโดย QS World University Rankings 2021 และมีผลสำรวจออกมาว่านักเรียนมากกว่า 89% ได้รับการจ้างงานภายในหกเดือนหลังจากสำเร็จการศึกษาด้วย

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย
Photo Credit: Facebook/Masseyuniversity
Photo Credit: Facebook/Masseyuniversity

Massey University 

Massey University ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 6 จัดโดย QS World University Rankings 2021 ที่นี่แต่ละปีมีนักศึกษาต่างชาติจากทุกมุมโลกเข้ามามาเรียนถึง 100 ประเทศ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมความนานาชาติเลยล่ะค่ะ

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย

••••••••••••••••••••••••

มาเลเซีย (Malaysia)

Photo Credit: Facebook/UOWMKDU
Photo Credit: Facebook/UOWMKDU

Asia Pacific University

ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงมีศูนย์ภาษาเป็นของตัวเอง ในกรณีที่น้องๆ ไม่มีผลสอบ IELTS หรือ ทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ ก็สามารถเข้าเรียนปรับพื้นฐานก่อนได้ค่ะ

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย
Photo Credit: Facebook/UOWMKDU
Photo Credit: Facebook/UOWMKDU

UOW University College KDU

UOW เป็นสถาบันที่มีหลักสูตรรองรับนักเรียนต่างชาติ ตั้งแต่หลักสูตรปริญญาตรีจนถึงปริญญาโท รวมถึงมีคอร์สเรียนปรับพื้นฐานสำหรับนักศึกษาก่อนเข้าเรียนด้วย

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย

••••••••••••••••••••••••

ไต้หวัน (Taiwan) 

Photo Credit: Facebook/NationalTsingHuaUniversity
Photo Credit: Facebook/NationalTsingHuaUniversity

National Tsing Hua University

'ชิงหวา' เป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปของไต้หวัน ได้รับการยอมรับทั้งด้านวิจัย แถมยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์ค่ะ 

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย
Photo Credit: Facebook/ChengchiUniversity
Photo Credit: Facebook/ChengchiUniversity

National Chengchi University

NCCU มีอีกชื่อคือเจิ้งต้า เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องคณะอินเตอร์ค่ะ เพราะเปิดสอนเยอะมากกก ที่โด่งดังเลยก็คือคณะมนุษย์ศาสตร์ นิเทศศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การจัดการต่าง และโปรแกรมอินเตอร์

เว็บไซต์มหาวิทยาลัย

••••••••••••••••••••••••

เกาหลี (Korea)

Photo Credit: Facebook/YONSEIUniversity
Photo Credit: Facebook/YONSEIUniversity

Yonsei University

พี่เดาว่าน้องๆ คงคุ้นกับมหาลัยฯ ยอนเซดีอยู่แล้ว เพราะถือมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงบ้างในประเทศเกาหลีใต้ ที่นี่มีหลักสูตรอินเตอร์ที่ชื่อว่า Underwood International College เปิดสอนในหลายสาขาวิชา เช่น วรรณกรรมและวัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ การศึกษาระหว่างประเทศ วิทยาศาสตร์สุขภาพและไบโอเทคโนโลยี ไปจนถึงด้านการจัดการเลยค่ะ ซึ่งถ้าน้องๆ ยื่น GED ก็ต้องศึกษาดีๆ ก่อนนะคะว่ามีสาขาที่อยากเรียนไหม (ตอนนี้มีทุนเปิดรับสมัครอยู่ด้วย https://www.dek-d.com/studyabroad/57324/ )

เว็บไซต์มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่รับ GED

เรียกได้ว่า GED เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับน้องๆ ที่เรียนแบบ Home School หรือเรียนสายอาชีพมาแล้วอยากสอบเทียบเท่าม.6 เพื่อใช้เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยมากๆ ค่ะ แต่ก็อย่างที่พี่ได้บอกไปทางด้านบนว่าแต่ละที่จะมีรายละเอียดที่ต่างกันออกไป บางที่ต้องการคะแนน GED สูง บางที่แค่สอบผ่านก็สามารถใช้ได้แล้ว 

และถ้าน้องๆ อยากเข้าเรียนต่อที่ไหนก็สามารถไปเซิร์ชหาข้อมูลในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยที่ตัวเองสนใจได้เลย ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เค้าก็จะรับเด็กที่จบวุฒิ GED อยู่นะคะ (แต่ในบางประเทศก็อาจจะเป็นคณะหรือสาขาที่เปิดสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษ) และที่สำคัญคือ หลายที่มีทุนมอบให้นักศึกษาจากต่างชาติแบบเราๆ ด้วยค่ะ (เข้าไปที่เว็บไซต์ของมหา’ลัย และกดดูตรงหัวข้อ ‘Scholarships’) แต่ใดๆ ก็ตามหากน้องสนใจเรียนต่อที่ไหนจริงๆ พี่ก็แนะนำให้สอบถามกับทางมหาวิทยาลัยโดยตรงน่าจะได้ข้อมูลที่แน่นอนกว่า เพื่อเราเองจะได้เตรียมพร้อมเรื่องการสมัครอย่างถูกต้องค่ะ ^^ 

 

 

Sources:https://ged.com/ https://phuketpals.org/what-is-a-passing-score-for-the-ged-test/ https://www.washingtondcapostille.com/2019/09/13/ged-apostille/ 
พี่ปลื้ม
พี่ปลื้ม - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Nipada40 29 มิ.ย. 64 10:03 น. 1

กระทู้น่ารัก และละเอียดมากเลยค่ะ ขอเสริมนิดนึงค่ะ เผื่อน้องๆที่อยากทราบรายละเอียด

- ค่าสอบวิชาละ 75 USD ค่ะ ตัดผ่านบัตรเครดิต แล้วแต่ค่าเงินช่วงนั้นค่ะ ผ่าน 4 วิชาแล้วจะได้ Diploma & Transcript จาก GED (OSSE) ค่ะ เขตการศึกษา Washington D.C. ถ้าจะสั่งใบวุฒิจริงเพิ่มก็เสียค่าวุฒิ 2 ใบ (Transcript & Diploma) รวมค่าส่ง 110 USD ค่ะ แต่เพื่อนเราบอกว่าส่งเร็วมากนะ เอกสารไม่หายด้วย แต่ต้องขยันเช็คว่าของมาถึงรึยังบ่อยๆ อะค่ะ

- มีสอบทั้งหมด 4 วิชาคือ Science, Mathematical Reasoning, Social Studies, Reasoning through Language Arts (RLA, English)

เกณฑ์ผ่านอยู่ที่ 145 คะแนนค่ะ รวมทั้งหมดก็ 580 คะแนน หลักๆ เวลาสอบเค้าสอบกันที่ Paradigm Language Institute ค่ะ เพราะสะดวกด้วย

- มีโอกาสสอบแก้ตัว 3 ครั้งค่ะ 3 ครั้งแรกสามารถสอบแก้ตัวได้เลย แต่หลังจากครั้งที่ 3 แล้วต้องรอ 60 วันค่ะ

- ที่ติวอันนี้ขึ้นกับทางพื้นฐานนะค่ะ ถ้าพื้นฐานแน่นมากๆ อ่านเอาเองก็ได้ ไปดูหนังสือเอาที่ Kinokuniya ค่ะ หรือถ้าจะติวจริงๆ แนะนำ จุฬาติวเตอร์ค่ะ น้องๆไปเรียนเยอะมาก เห็นหลายๆคนสอบผ่านค่ะ

- คะแนนขั้นต่ำของมหาลัยรัฐภาคอินเตอร์ต้องเข้าไปดูเองนะคะ แต่ MUIC ขอคะแนนขั้นต่ำ 600 คะแนนค่ะและต้องมีเกรดม.4 2 เทอม ถึงจะสมัครได้เพื่อกันเด็กออกจากโรงเรียนเร็วเกินไปอะค่ะ

0
กำลังโหลด

3 ความคิดเห็น

Nipada40 29 มิ.ย. 64 10:03 น. 1

กระทู้น่ารัก และละเอียดมากเลยค่ะ ขอเสริมนิดนึงค่ะ เผื่อน้องๆที่อยากทราบรายละเอียด

- ค่าสอบวิชาละ 75 USD ค่ะ ตัดผ่านบัตรเครดิต แล้วแต่ค่าเงินช่วงนั้นค่ะ ผ่าน 4 วิชาแล้วจะได้ Diploma & Transcript จาก GED (OSSE) ค่ะ เขตการศึกษา Washington D.C. ถ้าจะสั่งใบวุฒิจริงเพิ่มก็เสียค่าวุฒิ 2 ใบ (Transcript & Diploma) รวมค่าส่ง 110 USD ค่ะ แต่เพื่อนเราบอกว่าส่งเร็วมากนะ เอกสารไม่หายด้วย แต่ต้องขยันเช็คว่าของมาถึงรึยังบ่อยๆ อะค่ะ

- มีสอบทั้งหมด 4 วิชาคือ Science, Mathematical Reasoning, Social Studies, Reasoning through Language Arts (RLA, English)

เกณฑ์ผ่านอยู่ที่ 145 คะแนนค่ะ รวมทั้งหมดก็ 580 คะแนน หลักๆ เวลาสอบเค้าสอบกันที่ Paradigm Language Institute ค่ะ เพราะสะดวกด้วย

- มีโอกาสสอบแก้ตัว 3 ครั้งค่ะ 3 ครั้งแรกสามารถสอบแก้ตัวได้เลย แต่หลังจากครั้งที่ 3 แล้วต้องรอ 60 วันค่ะ

- ที่ติวอันนี้ขึ้นกับทางพื้นฐานนะค่ะ ถ้าพื้นฐานแน่นมากๆ อ่านเอาเองก็ได้ ไปดูหนังสือเอาที่ Kinokuniya ค่ะ หรือถ้าจะติวจริงๆ แนะนำ จุฬาติวเตอร์ค่ะ น้องๆไปเรียนเยอะมาก เห็นหลายๆคนสอบผ่านค่ะ

- คะแนนขั้นต่ำของมหาลัยรัฐภาคอินเตอร์ต้องเข้าไปดูเองนะคะ แต่ MUIC ขอคะแนนขั้นต่ำ 600 คะแนนค่ะและต้องมีเกรดม.4 2 เทอม ถึงจะสมัครได้เพื่อกันเด็กออกจากโรงเรียนเร็วเกินไปอะค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
fon1410mm Member 25 ก.ย. 65 11:17 น. 3

กำลังจะสอบ GED เหมือนกัน สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังจะสอบลองหาข้อมูลใน Youtube เลยนะมีรายละเอียดเยอะเลย



0
กำลังโหลด
กำลังโหลด