สวัสดีค่ะชาว Dek-D เคยมีใครสงสัยไหมว่าทำไมคนที่อายุ 17 ปีถึงเข้าเรียนมหาลัยได้ล่ะ หรือบางคนอายุ 16 ก็สอบติดหมอแล้ว แถมไม่ได้ไปโรงเรียนมัธยมแต่ดันมีวุฒิเทียบเท่าม.6 เฉยเลย ถ้าเคยสงสัย..วันนี้พี่ปลื้มจะมาไขข้อข้องใจให้ค่ะว่าเขาทำยังไงกัน รวมถึงพาไปเปิดวาร์ปมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่น่าสนใจมาให้รู้จักกันด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยยย
*บทความนี้อ้างอิงเรตค่าเงิน (อัปเดต มี.ค. 2564)*
1 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) = 30 บาท
••••••••••••••••••••••••
วุฒิ GED คืออะไร?
อย่างที่ได้เกริ่นไปว่าหลายคนมีวุฒิม.6 ตั้งแต่อายุน้อยๆ เหตุผลก็เป็นเพราะว่าพวกเค้าสอบเทียบหลักสูตร GED นั่นเองค่ะ ซึ่งการสอบ GED (General Educational Development) นั้นคือการสอบเทียบเท่าระดับมัธยมปลายตามหลักสูตรของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เป็นการสอบที่มีไว้ให้นักเรียนที่ไม่ได้จบม.ปลายหรือจบสายสามัญสามารถเข้าสอบเพื่อนำวุฒิไปสมัครเรียนต่อหรือใช้ในการทำงานได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการสอบเทียบเท่าชั้นม.6 นั่นเองค่ะ
เรียนแบบ GED เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่เรียนแบบ Homeschool หรือการเรียนที่บ้าน (ทำความรู้จักการเรียนแบบโฮมสคูลคลิกที่นี่ )
- ผู้ที่เรียบจบสายอาชีพ แล้วต้องการวุฒิเทียบเท่าม.6 เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
- ผู้ที่ต้องการประหยัดเวลากับค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่ต้องไปโรงเรียนมัธยม ก็สามารถสอบ GED ได้ ซึ่งเสียเงินค่าสอบเพียง 300 USD (ประมาณ 9,000 บาท)
- มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษดีระดับนึง เพราะข้อสอบทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษ และบางวิชาจำเป็นจะต้องทักษะการอ่านและเขียนวิเคราะห์
*การเรียนแบบ GED นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และอาจไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับทุกคน ดังนั้นหากใครสนใจแนะนำว่าให้ปรึกษากับผู้ปกครอง และวางแผนการเรียนดีๆ ก่อนนะคะ*
คุณสมบัติผู้สอบ GED
- มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันที่สอบ พ่อแม่หรือผู้ปกครองจะต้องกรอกฟอร์มขอยกเว้นอายุ (Age Exception) แล้วส่งไปที่ help@ged.com หลังจากที่ศูนย์สอบได้รับแบบฟอร์มแล้ว น้องๆ ต้องรอพิจารณา และถ้าได้รับอนุมัติจะได้อีเมลแจ้งหรือตรวจได้ผ่านบัญชี GED ของตนเองค่ะ (Hand out และรายละเอียด คลิกที่นี่)
- หากอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันที่สอบสามารถสมัครได้เลย ไม่จำเป็นต้องกรอกแบบฟอร์มอายุ
สอบ GED เสียค่าสมัครเท่าไหร่?
- วิชาละ 75 USD (หรือประมาณ 2,250 บาท)
- วิชาที่ต้องสอบมีทั้งหมด 4 วิชา รวมเป็นเงิน 300 USD (หรือประมาณ 9,000 บาท)
- ค่าใบ GED Diploma and Transcript ใบละ 15 USD (หรือประมาณใบละ 450 บาท)
จะต้องสอบวิชาอะไรบ้าง?
ภาษาอังกฤษ (Reasoning Through Language Arts)
- เวลาที่ใช้สอบ 150 นาที
- ข้อสอบมีทั้งพาร์ตการอ่าน (Reading) และการเขียน (Writing) รวมถึงต้องวิเคราะห์ไวยากรณ์ (Grammar) เลยค่ะ น้องๆ จะได้เจอบทความจากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมถึงวรรณกรรม จากนั้นต้องมาเขียนวิเคราะห์, สรุป และเขียนข้อโต้แย้ง (ประมาณว่ามีหลักฐานอะไรบ้างที่น่าเชื่อถือมากกว่านี้ และอธิบายเหตุผลว่าทำไมต้องสนับสนุนในสิ่งที่เราตอบค่ะ)
คณิตศาสตร์ (Mathematical Reasoning)
- เวลาที่ใช้สอบ 115 นาที
- น้องๆ จะได้เจอโจทย์การวัดสมการ และการประยุกต์ใช้แนวคิดทางคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาค่ะ แต่บอกเลยว่าไม่จำเป็นต้องจำสูตรมาเลย เพราะทาง GED เขียนบอกไว้ว่าผู้เข้าสอบจะได้รับแผ่นสูตรที่ทางศูนย์เตรียมไว้ให้ในวันสอบค่ะ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวน้องๆ เองแล้วว่าจะใช้ถูกไหม><
วิทยาศาสตร์ (Science)
- เวลาที่ใช้สอบ 90 นาที
- ข้อสอบวิทยาศาสตร์ของ GED ไม่เน้นการท่องจำค่ะ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การอ่านกราฟแสดงผลข้อมูล รวมถึงใช้เหตุผลในการตีความวิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา (Social Studies)
- เวลาที่ใช้สอบ 70 นาที
- วิชาสุดท้ายก็ยังเป็นแนวประยุกต์ใช้ค่ะ ต้องรู้วิธีอ่านกราฟและแผนภูมิที่แสดงข้อมูลการศึกษาทางสังคมและใช้เหตุผลในการตีความข้อมูล และเขียนสรุปผล
คะแนนสอบและใบประกาศ
- การสอบ GED ให้ผ่าน น้องๆ ต้องได้คะแนนขั้นต่ำ 145 คะแนนขึ้นไปในแต่ละวิชา (GED Pass Score) แต่ในการใช้ยื่นเข้ามหาลัยฯ รัฐ อาจจะต้องใช้คะแนนมากกว่านั้น ซึ่งก็สามารถเช็คได้ตามเว็บมหาวิทยาลัยที่ต้องการเข้าเลยค่ะ
- 165-174 คะแนน (GED College Ready): ถ้าน้องๆ ได้คะแนนอยู่ในเรนจ์นี้แสดงว่าน้องๆ มีทักษะเทียบเท่ามัธยมปลาย และมีสามารถในการเข้ามหาวิทยาลัย
- 175-200 คะแนน (College Ready Plus Credit): กลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มคะแนนสูงสุด เป็นคะแนนที่อยู่ในค่าเฉลี่ย 1-8% ของเด็กมัธยมปลายทั่วไป (ถ้าใครได้คะแนนระดับนี้ บางมหาวิทยาลัยอาจจะให้ทุนสำหรับเรียนปีแรกด้วยนะ)
- เมื่อสอบผ่านแล้วน้องๆ ต้องทำเรื่องขอ GED Diploma and Transcript และจะได้รับเอกสารส่งมาทางอีเมล ถ้าไม่ได้ทำเรื่องขอจะไม่มีเอกสารอะไรส่งมาให้ค่ะ
- คะแนน GED ไม่มีจำกัดระยะเวลา วุฒินี้จะติดตัวไปตลอดชีวิต
GED ก็มีสอบซ่อมนะ
- การสอบซ่อม: หากเป็นการสอบครั้งที่ 2 และ 3 ในแต่ละวิชา น้องๆ สามารถลงทะเบียนสอบได้เลย แต่การขอสอบซ่อมครั้งที่ 4 เป็นต้นไปจะต้องเว้นระยะห่างจากการสอบครั้งที่แล้วไม่ต่ำกว่า 60 วัน และถ้าหากไม่ผ่านอีกก็ต้องเว้นไปอีก 60 วันเช่นกันค่ะ
- การสอบใหม่เพื่อให้ได้คะแนนมากกว่าเดิม (สอบผ่านแล้ว แต่อยากได้คะแนนมากขึ้น): ในกรณีนี้ระบบการสมัครจะ ‘ล็อค’ ไม่ให้เราสมัครสอบใหม่ แต่น้องๆ สามารถปลดล็อคได้ด้วยการ ส่ง e-mail ไปที่ operations@ged.com ใส่ข้อมูลพร้อมเหตุผลที่อยากสอบใหม่ หรือโทรไปที่ศูนย์ GED
มหาวิทยาลัยที่รับ GED
จริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยที่เปิดรับ GED นั้นมีเยอะมากกกค่ะ (รวมถึงในประเทศไทยด้วย) ซึ่งน้องๆ ควรอ่านรายละเอียดของแต่ละที่ให้ดีก่อนเพราะจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันออกไป ในวันนี้พี่ปลื้มยกตัวอย่างมหา’ลัยในต่างประเทศที่น่าสนใจมาให้ดูเป็นตัวเลือกสำหรับน้องๆ ที่จบหลักสูตร GED ด้วยค่ะ ตามมาเล้ยย
ออสเตรเลีย (Australia)
University of Melbourne
University of Melbourne ตั้งอยู่ในเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) รัฐวิคทอเรีย (Victoria) นอกจากเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 โดย QS World University Rankings 2021 ของประเทศแล้วยังได้รับการจัดอันดับ 1 แทบจะทุกสาขาวิชาหลัก ไม่ว่าจะเป็น แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ บริหารธุรกิจ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์ รวมถึงอยู่ใน Group of Eight ของประเทศด้วยค่ะ สุดปังมาก
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยThe University of New South Wales
UNSW เป็นส่วนหนึ่งของ Group of Eight เหมือน University of Melbourne และอยู่ในอันดับที่ 44 โดย QS World University Rankings 2021
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยNOTE: The Group of Eight (Go8) คือกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำจากประเทศออสเตรเลีย ส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในออสเตรเลีย ทุกที่เป็นมหาวิทยาลัยที่มี Ranking สูงสุดของประเทศ และอยู่ในอันดับ Top 200 ของโลก มีความโดดเด่นด้านวิจัย และมีมาตราฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ประกอบไปด้วย
- The University of Melbourne
- The University of Adelaide
- The University of Sydney
- The University of Queenslands
- The University of New South Wales
- The University of Western Australia
- Australian National University
- Monash University
••••••••••••••••••••••••
นิวซีแลนด์ (New Zealand)
University of Waikato
Waikato เป็นมหาวิทยาลัยที่รู้จักกันดีในด้านวิชาการค่ะ ติดอันดับ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำโดย QS World University Rankings 2021 และมีผลสำรวจออกมาว่านักเรียนมากกว่า 89% ได้รับการจ้างงานภายในหกเดือนหลังจากสำเร็จการศึกษาด้วย
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยMassey University
Massey University ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 6 จัดโดย QS World University Rankings 2021 ที่นี่แต่ละปีมีนักศึกษาต่างชาติจากทุกมุมโลกเข้ามามาเรียนถึง 100 ประเทศ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมความนานาชาติเลยล่ะค่ะ
เว็บไซต์มหาวิทยาลัย••••••••••••••••••••••••
มาเลเซีย (Malaysia)
Asia Pacific University
ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงมีศูนย์ภาษาเป็นของตัวเอง ในกรณีที่น้องๆ ไม่มีผลสอบ IELTS หรือ ทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ ก็สามารถเข้าเรียนปรับพื้นฐานก่อนได้ค่ะ
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยUOW University College KDU
UOW เป็นสถาบันที่มีหลักสูตรรองรับนักเรียนต่างชาติ ตั้งแต่หลักสูตรปริญญาตรีจนถึงปริญญาโท รวมถึงมีคอร์สเรียนปรับพื้นฐานสำหรับนักศึกษาก่อนเข้าเรียนด้วย
เว็บไซต์มหาวิทยาลัย••••••••••••••••••••••••
ไต้หวัน (Taiwan)
National Tsing Hua University
'ชิงหวา' เป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปของไต้หวัน ได้รับการยอมรับทั้งด้านวิจัย แถมยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์ค่ะ
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยNational Chengchi University
NCCU มีอีกชื่อคือเจิ้งต้า เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องคณะอินเตอร์ค่ะ เพราะเปิดสอนเยอะมากกก ที่โด่งดังเลยก็คือคณะมนุษย์ศาสตร์ นิเทศศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การจัดการต่าง และโปรแกรมอินเตอร์
เว็บไซต์มหาวิทยาลัย••••••••••••••••••••••••
เกาหลี (Korea)
Yonsei University
พี่เดาว่าน้องๆ คงคุ้นกับมหาลัยฯ ยอนเซดีอยู่แล้ว เพราะถือมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงบ้างในประเทศเกาหลีใต้ ที่นี่มีหลักสูตรอินเตอร์ที่ชื่อว่า Underwood International College เปิดสอนในหลายสาขาวิชา เช่น วรรณกรรมและวัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ การศึกษาระหว่างประเทศ วิทยาศาสตร์สุขภาพและไบโอเทคโนโลยี ไปจนถึงด้านการจัดการเลยค่ะ ซึ่งถ้าน้องๆ ยื่น GED ก็ต้องศึกษาดีๆ ก่อนนะคะว่ามีสาขาที่อยากเรียนไหม (ตอนนี้มีทุนเปิดรับสมัครอยู่ด้วย https://www.dek-d.com/studyabroad/57324/ )
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่รับ GEDเรียกได้ว่า GED เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับน้องๆ ที่เรียนแบบ Home School หรือเรียนสายอาชีพมาแล้วอยากสอบเทียบเท่าม.6 เพื่อใช้เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยมากๆ ค่ะ แต่ก็อย่างที่พี่ได้บอกไปทางด้านบนว่าแต่ละที่จะมีรายละเอียดที่ต่างกันออกไป บางที่ต้องการคะแนน GED สูง บางที่แค่สอบผ่านก็สามารถใช้ได้แล้ว
และถ้าน้องๆ อยากเข้าเรียนต่อที่ไหนก็สามารถไปเซิร์ชหาข้อมูลในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยที่ตัวเองสนใจได้เลย ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เค้าก็จะรับเด็กที่จบวุฒิ GED อยู่นะคะ (แต่ในบางประเทศก็อาจจะเป็นคณะหรือสาขาที่เปิดสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษ) และที่สำคัญคือ หลายที่มีทุนมอบให้นักศึกษาจากต่างชาติแบบเราๆ ด้วยค่ะ (เข้าไปที่เว็บไซต์ของมหา’ลัย และกดดูตรงหัวข้อ ‘Scholarships’) แต่ใดๆ ก็ตามหากน้องสนใจเรียนต่อที่ไหนจริงๆ พี่ก็แนะนำให้สอบถามกับทางมหาวิทยาลัยโดยตรงน่าจะได้ข้อมูลที่แน่นอนกว่า เพื่อเราเองจะได้เตรียมพร้อมเรื่องการสมัครอย่างถูกต้องค่ะ ^^
Sources:https://ged.com/ https://phuketpals.org/what-is-a-passing-score-for-the-ged-test/ https://www.washingtondcapostille.com/2019/09/13/ged-apostille/
3 ความคิดเห็น
กระทู้น่ารัก และละเอียดมากเลยค่ะ ขอเสริมนิดนึงค่ะ เผื่อน้องๆที่อยากทราบรายละเอียด
- ค่าสอบวิชาละ 75 USD ค่ะ ตัดผ่านบัตรเครดิต แล้วแต่ค่าเงินช่วงนั้นค่ะ ผ่าน 4 วิชาแล้วจะได้ Diploma & Transcript จาก GED (OSSE) ค่ะ เขตการศึกษา Washington D.C. ถ้าจะสั่งใบวุฒิจริงเพิ่มก็เสียค่าวุฒิ 2 ใบ (Transcript & Diploma) รวมค่าส่ง 110 USD ค่ะ แต่เพื่อนเราบอกว่าส่งเร็วมากนะ เอกสารไม่หายด้วย แต่ต้องขยันเช็คว่าของมาถึงรึยังบ่อยๆ อะค่ะ
- มีสอบทั้งหมด 4 วิชาคือ Science, Mathematical Reasoning, Social Studies, Reasoning through Language Arts (RLA, English)
เกณฑ์ผ่านอยู่ที่ 145 คะแนนค่ะ รวมทั้งหมดก็ 580 คะแนน หลักๆ เวลาสอบเค้าสอบกันที่ Paradigm Language Institute ค่ะ เพราะสะดวกด้วย
- มีโอกาสสอบแก้ตัว 3 ครั้งค่ะ 3 ครั้งแรกสามารถสอบแก้ตัวได้เลย แต่หลังจากครั้งที่ 3 แล้วต้องรอ 60 วันค่ะ
- ที่ติวอันนี้ขึ้นกับทางพื้นฐานนะค่ะ ถ้าพื้นฐานแน่นมากๆ อ่านเอาเองก็ได้ ไปดูหนังสือเอาที่ Kinokuniya ค่ะ หรือถ้าจะติวจริงๆ แนะนำ จุฬาติวเตอร์ค่ะ น้องๆไปเรียนเยอะมาก เห็นหลายๆคนสอบผ่านค่ะ
- คะแนนขั้นต่ำของมหาลัยรัฐภาคอินเตอร์ต้องเข้าไปดูเองนะคะ แต่ MUIC ขอคะแนนขั้นต่ำ 600 คะแนนค่ะและต้องมีเกรดม.4 2 เทอม ถึงจะสมัครได้เพื่อกันเด็กออกจากโรงเรียนเร็วเกินไปอะค่ะ
ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเค้ารับมั้ยคะ
กำลังจะสอบ GED เหมือนกัน สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังจะสอบลองหาข้อมูลใน Youtube เลยนะมีรายละเอียดเยอะเลย