ทำไมถึงต้องเป็นช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์? ที่มาของขนมคู่ใจวันแห่งความรัก

Spoil

  • ช็อกโกแลตกลายเป็นที่นิยมในวันวาเลนไทน์เพราะการตลาดหัวใสของ Richard Cadbury
  • ช็อกโกแลตนั้นดีต่อสุขภาพมากโดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลต
  • ตำนานสมัยก่อนเชื่อว่าช็อกโกแลตคืออาหารของพระเจ้า

อีกไม่นานแล้วนะครับที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักประจำปีที่เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวต่างรอคอยกัน เพื่อนๆ ชาว Dek-D เองก็เป็นหนึ่งในนั้นใช่ไหมล่ะ! เพราะมันคือวันแห่งความรักที่มักจะถือคติกันว่าถ้าเราแอบชอบใครอยู่ก็ให้สารภาพไปในวันนี้แหละจะได้มีโอกาสสำเร็จมากกว่าเนื่องจากเอฟเฟกต์เพิ่มผลลัพธ์ด้วยวันพิเศษ

แต่ใครเคยมีข้อสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมในวันวาเลนไทน์ แม้จะไม่ใช่การสารภาพรักแต่การมอบช็อกโกแลตให้กับคนรัก หรือคนที่แอบชอบมันกลายเป็นธรรมเนียมหลักประจำไปแล้ว ถ้าพูดถึงแค่อยากให้ของหวานทำไมถึงต้องเป็นช็อกโกแลตกันล่ะ? วันนี้พี่เบสจะพาทุกคนมาหาคำตอบกันครับ

ภาพจาก Freepik.com
ภาพจาก Freepik.com

ประวัติวาเลนไทน์แบบสั้นๆ

ประวัติของวันวาเลนไทน์นั้นหลายๆ คนก็รู้กันดีอยู่แล้วว่ามันเป็นตำนานจากในสมัยช่วงยุคโรมันนู่นเลย เกี่ยวกับนักบวชเซนต์วาเลนไทน์ที่ทำพิธีแต่งงานให้กับคนในโรมันโดยเป็นการฝ่าฝืนกฎของราชาในขณะนั้นจนทำให้โดนประหารถึงแก่ชีวิตในที่สุด จนทำให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ปกติเป็นวันหยุดสรรเสริญพระเจ้าของชาวโรม ถูกเปลี่ยนมาเป็นวันแห่งความรักที่รำลึกถึงนักบวชผู้กล้าหาญเซนต์วาเลนไทน์นั่นเอง จากที่ฟังในตำนานมาก็ไม่ได้มีกล่าวไปถึงช็อกโกแลตเลยด้วยซ้ำ แล้วมันมากลายมาเป็นของยอดฮิตลำดับต้นๆ ที่คนมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ได้ยังไงกันนะ?

ที่มาของช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์

มันเป็นกลยุทธ์ของ Richard Cadbury อัจฉริยะชาวบริติชผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในศตวรรษที่ 19 แถมยังลากยาวความสำเร็จให้วงศ์ตระกูลสืบมาจนถึงปัจจุบัน ในปี 1800 ครอบครัวของ Richard ที่ทำช็อกโกแลตกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่หยุดพัฒนายังคงมองหาวิธีการใช้เนยโกโก้ที่เป็นส่วนสกัดออกมาขณะทำเหล้าช็อกโกแลตขึ้นมา

จุดนั้นเองที่ทำให้ Richard ปิ๊งไอเดียเอาเจ้าเนยโกโก้มาทำเป็นช็อกโกแลตแท่งที่ยังคงมีรสชาติดีเยี่ยม อาจจะต่างกับช็อกโกแลตแท้ไปสักหน่อยแต่มันก็หวานอร่อย แถมราคาถูกลงมาจากเดิมมากโข เพราะยุคนั้นช็อกโกแลตยังเป็นสิ่งหายาก มีราคาแพงทำให้มีเพียงกลุ่มคนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้ลิ้มรสมัน และการเปิดตลาดใหม่ที่ราคาถูกลงมากกว่าเดิมนับว่าเป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

หลังจากผลิตช็อกโกแลตแท่งราคาย่อมเยาขึ้นมาได้แล้ว แต่ถ้าขาดการตลาดที่ดีมันก็ไม่อาจจะขายดิบขายดีได้ Richard จึงเริ่มคิดแพ็กเกจสวยงามขึ้นมาสำหรับช็อกโกแลตของเขา เป็นกล่องที่ประดับไปด้วยรูปของดอกกุหลาบ และกามเทพ ซึ่งในยุคนั้นเห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่ามันเกี่ยวกับเรื่องของความรักอย่างแน่นอน นั่นเองที่ทำให้มันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจากความอร่อย และแพ็กเกจสุดสวย ไม่พอเขายังทำช็อกโกแลต และกล่องรูปหัวใจมาเอาใจคนมีความรักเพิ่มอีกจนนี่แหละคือที่มาของช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์ มันมาจากหัวคิดด้านการตลาดของพ่อค้าช็อกโกแลตที่เปลี่ยนโลกแห่งความโรแมนติกไปตลอดกาลเลยทีเดียว

ภาพจาก Freepik.com
ภาพจาก Freepik.com

จุดกระแสช็อกโกแลตในอเมริกา

เรื่องราวตรงนั้นเป็นส่วนของในประเทศอังกฤษ คราวนี้มาดูกันบ้างว่าในประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา วัฒนธรรมช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์มันเริ่มได้ยังไงกัน ยิ่งเวลาผ่านเลยไปจนเข้าสู่ช่วงยุคใหม่ที่สงบสุขมากขึ้น วาเลนไทน์ก็ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่วัยรุ่น จนทำให้เจ้าของธุรกิจช็อกโกแลตในอเมริกาอย่าง Milton Hershey เริ่มผลิตช็อกโกแลต Kisses ที่มีขนาดเล็กเท่ารูปหยดน้ำในช่วงปี 1907 อันเป็นการเปิดศักราชช็อกโกแลตสำหรับวาเลนไทน์ในอเมริกา

แต่ว่าส่วนสำคัญจริงๆ ที่ทำให้บูมเป็นกระแสมาจาก Russell Stover เป็นช็อกโกแลตที่เชื่อมโยงความโรแมนติกเข้ากับขนมได้อย่างแท้จริงจากการทำกล่องเป็นรูปหัวใจนั่นเอง ครอบครัว Stover ที่ผลิตช็อกโกแลตกล่องหัวใจออกมาก็ได้เริ่มจัดวางขายในปี 1923 ด้วยชื่อสุดแสนจะเร้าใจว่า Secret Lace Heart หรือแปลเป็นไทยว่า ลายลับของหัวใจ สมกับที่มันเป็นช็อกโกแลตที่ถูกหุ้มด้วยกล่องรูปหัวใจ แล้วปูผ้าซาตินทับลงไปพร้อมกับถักลูกไม้สีดำประดับอย่างประณีต นั่นทำให้นอกจากจะเป็นของกินแสนอร่อยมันยังกลายเป็นของฝาก ของสะสมที่ล้ำค่าจนขายดิบขายดี ต่อยอดความสำเร็จให้กับ Russell Stover จนกลายเป็นบริษัทที่มียอดขายช็อกโกแลตดีที่สุดในอเมริกา

เหตุผลที่มีเพียงแค่ช็อกโกแลตไม่มีขนมอื่น

อันนี้แหละที่พี่เบสสงสัยมากๆ ว่าในเมื่อช็อกโกแลตเป็นขนมหวานที่มอบให้กันแทนความรัก ทำไมถึงมอบขนมอื่นให้ไม่ได้ด้วย? ลูกอม วานิลลา เค้ก อะไรแบบนั้น แต่หลังจากที่ได้รู้ประวัติมาแม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามหลังตำนานวาเลนไทน์ แต่ช็อกโกแลตก็ฝังรากลึกเป็นวัฒนธรรมมากว่าศตวรรษแล้ว มันเป็นธรรมเนียมหลักของแทบทุกประเทศในโลกที่ต้องมอบช็อกโกแลตให้กันในวันแห่งความรัก แต่มันก็ยังมีเหตุผลอื่นอยู่อีกนะว่าทำไมถึงเป็นแค่เพียงช็อกโกแลต หนึ่งเดียวของขนมแทนใจ แทนความรักนี้

1.กินแล้วรู้สึกสดชื่น!

ช็อกโกแลตนั้นมีสารที่กินไปแล้วทำให้รู้สึกถึงความครึกครื้น และกระชุ่มกระชวยอยู่ในตัวซึ่งถือเป็นยาบำรุงกำลังวังชามาตั้งแต่สมัย Aztecs แล้ว และวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ว่าเมื่อกินช็อกโกแลตเข้าไปจะทำให้คนเราผ่อนคลาย อารมณ์ดีขึ้น และเปิดใจรับกับเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องที่วูบวาบ และน่าหลงใหลอย่างความรัก เพราะมีสารที่ผ่อนคลายสมอง และเพิ่มกระตุ้นระดับอารมณ์ด้วย จากผลการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่ไม่กินช็อกโกแลตจะมีความปรารถนาในความรักน้อยกว่าผู้หญิงที่กิน แถมในอดีต ราชวงศ์แถบยุโรปเองก็มอบช็อกโกแลตพร้อมกับอัญมณีให้กับคนรักของพวกเขาเพื่อกระตุ้นความรักที่มีต่อกันอีกด้วย

2.ช็อกโกแลตเปลี่ยนอารมณ์คนได้

อย่างที่บอกไปในหัวเรื่องก่อนหน้านี้แล้วว่ามันกินแล้วทำให้อารมณ์ดีขึ้น ผ่อนคลายความเครียด ทำให้เป็นสุขได้มากกว่าเดิมเวลากินช็อกโกแลตเข้าไป ทำให้ในวันแห่งความรักที่เต็มไปด้วยความสุข การกินช็อกโกแลตไปด้วยจะยิ่งทำให้ฟินมากขนาดไหน หรือถ้านกก็กินช็อกโกแลตปลอบใจจะได้ดีขึ้นไวกว่าเดิมด้วยนะ สู้ๆ

3.ช็อกโกแลตอาหารของพระเจ้า

ช็อกโกแลตผลิตจากผลโกโก้ซึ่งก็มาจากต้นโกโก้อีกที โดยต้นโกโก้มีชื่อเต็มว่า Theobroma cacao ถ้าพูดเป็นสำเนียงภาษากรีกละก็มันจะหมายความว่า อาหารสำหรับพระเจ้ายังไงล่ะ แม้บางคนอาจจะเห็นด้วยตามนี้เพราะรสนิยมส่วนตัวที่ชอบช็อกโกแลตอยู่แล้ว แต่ในอดีตคำคำนี้ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยจริงๆ เพราะในอารยธรรมมายาโบราณพวกเขาเชื่อว่าโกโก้คือพระเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หนำซ้ำชาว Aztecs ยังเคยเอาเมล็ดโกโก้ไปเป็นสกุลเงินแลกเปลี่ยนสิ่งของ และเป็นอาหารสำหรับคนชั้นสูงด้วย จึงไม่แปลกเลยที่ช็อกโกแลตจะเป็นสิ่งที่เลอค่ามากที่เราควรค่าจะมอบให้แก่คนที่เรารัก

ภาพจาก Freepik.com
ภาพจาก Freepik.com

4.ช็อกโกแลตดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลต

ยิ่งมีปริมาณช็อกโกแลตเข้มข้นขึ้นเท่าไหร่มันก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพของคนเรามากขึ้นเท่านั้น ดาร์กช็อกโกแลตมีสารเคมีที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ แถมยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และฟลาโวนอยด์ซึ่งต่อสู้กับอนุมูลอิสระในร่างกาย ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังช่วยลดความดันโลหิต เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดีอีกด้วย

นอกจากในเรื่องของสุขภาพแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นและความชุ่มชื้นของผิวหนัง มีหลักฐานมากมายที่บอกว่าดาร์กช็อกโกแลตช่วยเพิ่มการทำงานของสมองเนื่องจากโกโก้มีสารกระตุ้นเช่นคาเฟอีน และธีโอโบรมีนในปริมาณเล็กน้อยที่พอเหมาะกับร่างกาย จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดมันทำให้เห็นเลยว่าช็อกโกแลตที่แท้จริงนั้นมีประโยชน์มากจริงจังขนาดไหน

5.ทุกคนรักช็อกโกแลต

ไม่ใช่ในเรื่องของรสชาติที่หวานละมุนนุ่มลิ้น หรือถ้าเป็นแบบดาร์กก็เข้มข้นอร่อยถึงใจอย่างเดียวหรอกนะ แต่เนื่องจากถ้ากินเยอะเกินไปมันก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย ทำให้คนเรากินช็อกโกแลตได้ไม่บ่อย และนั่นเองทำให้ทุกครั้งที่เราได้กินช็อกโกแลตก็เหมือนกับการได้พักผ่อนไปในตัวจนทำให้พอได้กินทีไรมันอดที่จะมีความสุข และผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้ดีทีเดียว จึงไม่แปลกใจเลยที่ไม่ว่าใครๆ ในโลกก็อดหลงรักช็อกโกแลตไม่ได้

ภาพจาก Freepik.com
ภาพจาก Freepik.com

 

เอาล่ะจบกันไปแล้วสำหรับการหาเหตุผลที่ว่าทำไมช็อกโกแลตถึงได้เป็นที่นิยมมากกว่าขนมชนิดอื่นๆ ในวันวาเลนไทน์ เพราะมันมีทั้งประวัติอันยาวนานจากความฉลาดทางการตลาดของพ่อค้าคนหนึ่ง ความอร่อยนุ่มลิ้นที่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ลง จนสุดท้ายมันก็จบที่เหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ก็ในเมื่อช็อกโกแลตมันเป็นของดีอยู่แล้ว ทำไมเราจะต้องไปสรรหาของอย่างอื่นที่ไม่รู้ว่าเอามาแทนแล้วมันจะดีกว่ารึเปล่าล่ะจริงไหม?

เพราะงั้นวาเลนไทน์นี้ก็เตรียมหาช็อกโกแลตดีๆ อร่อยๆ ไว้สำหรับคนที่เรารักกันด้วยนะครับ พี่เบสได้ข่าวว่าช่วงนี้ตามห้าง และร้านสะดวกซื้อก็ลดราคากันเป็นแถวเลย อย่าลืมรีบไปจับจองกันนะครับ!

 

 

ข้อมูลจาก:https://www.santabarbarachocolate.com/blog/why-chocolate-on-valentines-day/https://www.history.com/topics/valentines-day/history-of-valentines-day-2
พี่เบส
พี่เบส - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น