#วันนี้โจไบเดนทำอะไร พาไปดู 7 ผลงานปังๆ ของ ‘โจ ไบเดน’ หลังดำรงตำแหน่งปธน.ไม่ถึงเดือน!

สวัสดีค่ะชาว Dek-D หลังจากผ่านเหตุการณ์ชุลมุนก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ทั่วทั้งโลกต่างก็จับตามองการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้ผู้นำ ‘โจ ไบเดน’ พร้อมกับใส่ความคาดหวังกันมาเต็มที่ว่าเขาและคณะทำงานจะสามารถแก้ไขวิกฤตด้านต่างๆ ได้ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าอเมริกาเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจ การขยับตัวออกนโยบายแต่ละทีก็สร้างแรงกระเพื่อมไปถึงประเทศอื่นๆ เช่นกันค่ะ

Photo  credit:  Time magazine
Photo  credit:  Time magazine

ตัวอย่างก็มีให้เห็นจากนโยบายสุดโต่งของอดีตประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และแน่นอนว่าการขึ้นนั่งเก้าอี้ของโจ ไบเดนครั้งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการแก้ไขนโยบายเดิมๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ซะก่อน แต่นั่นไม่ใช่งานง่ายเลยค่ะ ชาวเน็ตถึงกับบอกว่าผู้นำคนใหม่ต้อง ‘ตามเก็บกวาด’ สิ่งที่คนก่อนทำไว้! ด้านสื่อใหญ่อย่าง TIME ก็มาแรงไม่มีแผ่ว นำภาพวาดเชิงเสียดสีมานำเสนอจนกลายเป็นไวรัลกันไปทั่วโลก ซึ่งเป็นภาพที่โจ ไบเดนยืนหันหลังให้กับเอกสารที่กองพะเนินกันอยู่ในห้องทำงานของปธน. ครั้งนี้พี่มายมิ้นท์ก็เลยจะพาทุกคนไปเปิด 7 นโยบายสุดปังของโจ ไบเดน หลังเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึงเดือน เขาเริ่มแก้ไขอะไรบ้างและ #วันนี้โจไบเดนทำอะไร ตามไปดูกันค่ะ 

1. นโยบายเศรษฐกิจพิชิตปัญหาปากท้อง (Economic policy)

      ประเดิมกันที่นโยบายด้านเศรษฐกิจกันก่อนค่ะ ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกต่างเผชิญวิกฤตโควิด-19 จนเศรษฐกิจตกต่ำลง อเมริกาเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน ดังนั้นรัฐบาลชุดใหม่จึงเร่งออกนโยบายมากมายเข้ามาแก้ไขเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน เช่น

นโยบาย ‘Buy American’

Photo  credit: William Thomas Cain  (Getty Images)
Photo  credit: William Thomas Cain  (Getty Images)

ในแต่ละปีอเมริกาได้นำเข้าสินค้าปริมาณมหาศาลจนทำเอาเม็ดเงินไหลออกนอกประเทศซะเยอะ อีกทั้งอัตราว่างงานของคนในประเทศยังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ไปอีก รัฐบาลชุดใหม่จึงออกนโยบายชื่อว่า Buy American พูดง่ายๆ ก็คืออุดหนุนสินค้าภายในประเทศนั่นเองค่ะ รัฐบาลต้องการส่งเสริมภาคการผลิตเพื่อให้แรงงานเป็นที่ต้องการมากขึ้น เป็นการช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานแทนที่จะใช้เงินไปกับการซื้อสินค้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ โดยโจ ไบเดนกล่าวถึงนโยบายนี้ว่า

       “เรา (รัฐบาล) จะอุดหนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศและจะสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และเราก็จะใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านเหรียญซื้อสินค้ารวมถึงวัตถุดิบของอเมริกาเพื่อนำมาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เราเชื่อว่านี่จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้”

นโยบาย Direct aid ($1 trillion)

Photo credit: www.unsplash.com
Photo credit: www.unsplash.com

      เพื่อช่วยเหลืออเมริกันชนให้ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจนี้ไปให้ได้ รัฐบาลโจ ไบเดนก็ได้ออกนโยบาย Direct Aid หรือนโยบายสนับสนุนเงินโดยตรง และทุ่มงบประมาณว่า 1 ล้านล้านเหรียญ จัดสรรให้ประชาชนโดยแบ่งเป็น การให้เงินเยียวยาพลเมืองอเมริกัน ‘ทุกคน’ คนละ 1,400 เหรียญ การขยายมาตรการช่วยเหลือคนว่างงานและให้เงินสนับสนุนเพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 400 เหรียญ การใช้เงิน 25,000 ล้านเหรียญช่วยเหลือค่าที่พักอาศัย 5,000 ล้านเหรียญช่วยเรื่องค่าน้ำค่าไฟ และอีก 5,000 ล้านเหรียญสำหรับช่วยเหลือคนไร้บ้าน นอกจากนี้ก็ยังเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 7.25 เหรียญต่อชั่วโมง ให้เป็น 15 เหรียญต่อชั่วโมงอีกด้วยค่ะ

2. นโยบายฉีดวัคซีนฟรีไม่ต้องมีแอปฯ

Photo  credit: Paula Bronstein  (Getty Images)
Photo  credit: Paula Bronstein  (Getty Images)

อย่างที่เราเห็นจากข่าวอยู่ตลอดว่าอเมริกามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ‘วัคซีน’ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ เราจะเห็นข่าวว่าหลายประเทศทยอยเริ่มแจกจ่ายวัคซีนเพื่อความปลอดภัยของประชาชนกันแล้ว นั่นก็รวมถึงอเมริกาด้วย เพราะไจ ไบเดน เร่งออกนโยบายฉีดวัคซีนฟรีให้ประชาชนไปต่อแถวรับบริการได้ที่หน่วยพยาบาลใกล้บ้านคุณ! ส่วนวัคซีนที่ฉีดจะต้องได้รับการรับรองประสิทธิภาพแล้วเท่านั้น ขอแค่ประชาชนไปฉีด ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกัน เพราะรัฐบาลทุ่มงบมาเรื่อยๆ หวังให้ประชาชนได้ฉีดภายในกลางปี 2022 เรียกว่าคุ้มค่ากับภาษีที่เสียไปแน่นอนค่ะ //ได้ข่าวว่าตอนนี้ก็ฉีดกันไปเกินล้านคนแล้วล่ะค่ะ!

3. เด็กต่างชาติไม่ต้องตกใจ อเมริกาให้วีซ่าเหมือนเดิมจ้า

       หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์จะยกเลิกวีซาของนักเรียนต่างชาติ ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างร้อนระอุ เพราะอเมริกาเป็นแหล่งรวมมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และเรื่องสภาพแวดล้อมและทรัพยากรของมหาวิทยาลัยก็คือเหตุผลใหญ่ที่ทำให้ชาวต่างชาติตัดสินใจมาเรียนที่อเมริกาด้วย ดังนั้นการยกเลิกวีซ่าก็เหมือนดับฝันทั้งนักศึกษาปัจจุบันและคนที่วางแผนจะไปเรียนต่อเลยค่ะ 

Credit:  @JoeBiden/@sahilkapur (twitter)
Credit:  @JoeBiden/@sahilkapur (twitter)

ทางด้านแอคเคานต์ทวิตเตอร์ Salhi Kapur นักข่าวสายการเมืองของสำนัก Bloomberg ก็ออกมารายงานและแสดงความเห็นว่าจะมีการยกเลิกวีซ่าของนักเรียนต่างชาติประเภท F-1 และ M-1 หากเรียนออนไลน์อยู่ก็ให้ออกจากสหรัฐฯ ด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย จากนั้นโจ ไบเดน ที่ขณะนั้นยังไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำก็ได้เข้ามาตอบทวิตนี้ว่า

 “นักเรียนจากทั่วโลกมาอเมริกาด้วยเจตนาดีและมาเพื่ออนาคต พวกเขามาเรียนที่นี่ และได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้อเมริกาเป็นอย่างทุกวันนี้แต่ปธน.โดนัลด์ไม่เข้าใจอะไรเลย เราต้องการคนที่เข้าใจจุดนี้”

แน่นอนว่าจุดยืนของโจ ไบเดนชัดเจนตั้งแต่แรก ดังนั้นเมื่อได้รับตำแหน่ง เขาก็ลุยเดินหน้าแก้ไขนโยบายเดิม พร้อมส่งเสริมให้นักเรียนต่างชาติได้เรียนที่อเมริกาโดยปราศจากการแบ่งแยก เพราะงั้นใครที่กำลังกังวลว่าหนทางเรียนต่อที่อเมริกาจะไม่ราบรื่นก็คลายกังวลตรงส่วนนี้ไปได้เลยค่ะ //ถึงเรื่องวีซ่าจะสะดวกแล้ว แต่แนะนำให้รอดูสถานการณ์โควิดเพื่อความปลอดภัยก่อนนะคะ

4. เคาะแล้วให้ทำประกัน เพราะสุขภาพสำคัญที่สุด!

Photo  credit:  Justin Sullivan   (Getty Images)
Photo  credit:  Justin Sullivan   (Getty Images)

สหรัฐอเมริกาก็เป็นประเทศหนึ่งที่ค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างสูง ปกติอเมริกาก็มีค่ารักษาพยาบาลสูงอยู่แล้ว พอเจอเหตุการณ์โรคระบาดบวกกับอัตราการว่างงานและจำนวนคนยากจนที่เพิ่มขึ้นๆ ก็ยิ่งทำให้การไปหาหมอที่โรงพยาบาลดูไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งถ้าย้อนไปสมัยทรัมป์จะพบว่ายังมีประเด็นประกันสุขภาพที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ดังนั้นเมื่อโจ ไบเดนขึ้นมาจึงลุยต่อยอดนโยบาย Obamacare ของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา (พรรคเดียวกัน) ในการทำประกันสุขภาพให้พลเมืองอเมริกัน เขาได้คาดการณ์ว่าจะมีพลเมืองได้สิทธิประโยชน์นี้ไม่ต่ำกว่า 97% และมีวงเงินประกันรวมกันสูงถึง 750 พันล้านเหรียญ ระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี! //งานนี้รัฐบาลทุ่มสุดตัวจริงๆ ค่ะ 

5. Environment ประเด็นที่เร่งด่วนไม่แพ้กัน!

Photo  credit:  Chip Somodevilla  (Getty Images)
Photo  credit:  Chip Somodevilla  (Getty Images)

ขอเกริ่นก่อนว่าสนธิสัญญาปารีส หรือ the Paris Agreement เป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) เพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งสมัยทรัมป์อเมริกาก็ถอนตัวออกจากสนธิสัญญานี้ เพราะทรัมป์ประกาศชัดเจนว่าไม่เชื่อเรื่อง Climate Change ส่งผลต่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ด้วย ที่จริงแล้วอเมริกาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศปริมาณมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลย ดังนั้นการออกจากข้อตกลงฯ ของทรัมป์ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของอเมริกาในสายตาชาวโลกเปลี่ยนไปเยอะทีเดียวค่ะ

แต่รัฐบาลชุดใหม่ก็ได้ทำในสิ่งตรงข้ามกับทรัมป์โดยการกลับเข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาปารีสอีกครั้ง พร้อมทั้งปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ไบเดนยังผลักดันให้มีการใช้รถยนต์พลังงานสะอาดแทนการใช้รถที่ใช้เชื้อเพลิง เปิดศักราชใหม่โดยการอนุมัติโครงการรถพลังงานไฟฟ้าจากบริษัท Tesla จำนวนมากกว่า 6 แสนคัน และทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทพุ่งสูงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว เรียกได้ว่าออกนโยบายครั้งเดียวได้ประโยชน์สองทางเลยล่ะค่ะ

 6. ‘It’s time to act’ ถึงเวลาผลักดันเรื่องเชื้อชาติ

   เรื่องของความหลากหลายด้านเชื้อชาติเป็นประเด็นที่เดือดมากกกกในสมัยรัฐบาลทรัมป์ จนเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Black Lives Matter เพื่อเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียม และต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์โรคระบาด ก็มีการ bully ชาวเอเชียและกลายเป็นกระแส Anti-Asia racism ส่วนทรัมป์ก็ประกาศจุดยืนชัดเจนโดยบอกว่าต้นตอโรคระบาดมาจากจีน และเรียกว่า Chinese virus แทนโคโรนาไวรัส

นั่นส่งผลให้ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและชาวเอเชียในอเมริกา ต้องเจอปัญหาถูก bully อย่างหนักถึงขั้นถูกคนผิวขาวทำร้ายร่างกาย ขอยกตัวอย่างช่อง CBS ใน YouTube ที่นักข่าวสัมภาษณ์ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียแต่ละวัย แล้วมีประโยคนึงที่คนพูดว่า ‘ออกไปจากที่นี่ซะ ไอ้ตัวเชื้อโรค!’ (ผู้เคราะห์ร้ายเป็นชาวสิงคโปร์ที่มาเรียนต่อ หลังจากถูกด่าทอก็ยังโดนทำร้ายร่างกายอีกด้วยค่ะT T) ประเด็นเชื้อชาติจึงยิ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่และสร้างรอยร้าวให้คนแตกแยกมากขึ้นไปอีก

แต่ล่าสุดรัฐบาลของโจ ไบเดนก็ได้แสดงจุดยืนต่อต้านการแบ่งแยกเชื้อชาติโดยเขาได้เริ่มแผนแก้ไขนโยบายที่ไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับเชื้อชาติ อย่างกรณีจอร์จ ฟรอยด์ (George Floyd) ที่เจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติกับคนผิวดำอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ขั้นตอนการจับกุมเท่านั้น ในเรือนจำนักโทษที่เป็นชาวต่างชาติก็มักจะได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมเช่นกัน จะเห็นว่าไม่ว่าที่ไหนก็มีการแบ่งแยกเกิดขึ้น นี่จึงเป็นปัญหาที่ไบเดนต้องเร่งมือแก้ไข

 นอกจากนี้ไบเดนยังออกนโยบายให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพจากทั่วโลก รวมถึงจะปรับนโยบายการเคหะแห่งชาติให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งพลเมืองเชื้อสายอเมริกันและเชื้อชาติอื่นๆ ด้วยค่ะ//เรียกได้ว่ากลับด้านกับนโยบายทรัมป์แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย 

“ถึงเวลาที่ต้องลงมมือทำแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นสิ่งที่สมควรทำ แต่เป็นเพราะถ้าเราลงมือทำเราจะมีสังคมที่ดีกว่าทุกวันนี้” - โจ ไบเดน

7. Stop gender discrimination! เพศไหนๆ ก็เท่าเทียม

มาถึงนโยบายสุดท้ายซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไบเดนเห็นต่างกับทรัมป์อย่างชัดเจน หลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนได้ออกกฏหมายไม่ให้บุคคลข้ามเพศหรือ transgender เข้าทำงานในกองทัพสหรัฐฯ ในขณะที่ประชาชนมองว่า 'ทุกคน' มีสิทธิ์เข้าร่วมในกองทัพในฐานะพลเมืองอเมริกัน การออกกฎหมายกีดกันเพศสภาพแบบนี้ถือเป็นการขัดต่อสิทธิมนุษยชนอย่างมาก

Photo credit:  www.unsplash.com
Photo credit:  www.unsplash.com

ดังนั้นผู้นำคนใหม่ก็จัดให้แบบรวดเร็วทันใจตั้งแต่วันแรกที่เข้าตำแหน่งเลยค่ะ! ไบเดนได้ลงนามอนุมัติคำสั่งพิเศษให้พลเมืองอเมริกันทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมในกองทัพ โดยห้ามแบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา และเพศสภาพ ไม่ต้องรอหารือหรือพิจารณาผ่านสภาใดๆ เพราะทุกคนก็ต่างเห็นพ้องแล้วว่าการแบ่งแยกกีดกันนั้นไม่ถูกต้องเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า

“ท่านประธานาธิบดีเชื่อว่า ไม่ควรนำอัตลักษณ์ทางเพศมาเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกคนเข้าร่วมในกองทัพ และยังเชื่อมั่นอีกว่าความเข้มแข็งของชาติอเมริกาคืออิสระหลากหลาย” 

และนี่ก็คือ 7 นโยบายเร่งด่วนฉบับรัฐบาลชุดใหม่ (ยังไม่ถึงเดือนเลยนะคะเนี่ย!) เราจะเห็นว่าโยบายที่ออกมานั้นมักจะยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง ถึงแม้การแก้ไขปัญหาบางอย่างจะเหมือนเรื่องไกลตัว เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อมหรือความมั่นคงระหว่างประเทศ แต่หากวิเคราะห์ดีๆ จะพบว่าถ้าประเทศมั่นคงก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และทำให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี อีกทั้งการที่ประชาชนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็จะทำให้สุขภาพกายและจิตดีตามไปด้วย 

พี่มายมิ้นท์มองว่ารัฐบาลไบเดนมีแผนการดำเนินงานที่เจ๋งทีเดียวค่ะ และอีก 3 ปี 11 เดือนต่อจากนี้ทั่วโลกก็ยังคงต้องจับตามองท่าทีการบริหารประเทศของผู้นำคนใหม่นี้ต่อไปว่าจะพาอเมริกาเดินต่อในทิศทางไหน เพราะอย่างที่บอกว่าพออเมริกาเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง ก็ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงบ้านเราด้วย เอาเป็นว่าเรามาเฝ้าลุ้นเฝ้าติดตามไปด้วยกันนะคะ

Source:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/919370https://asia.nikkei.com/Economy/Trade/Biden-tightens-Buy-American-rules-with-executive-orderhttps://edition.cnn.com/2021/01/26/politics/executive-orders-equity-joe-biden/index.htmlhttps://www.bbc.com/news/world-us-canada-55799913https://www.gettyimages.com/editorial-imageshttps://www.youtube.com/watch?v=Vc7y7TQe_Dghttps://www.youtube.com/watch?v=it0KuAxtM_Mhttps://unsplash.com/photos/r5SoS5g5Egkhttps://unsplash.com/photos/lVFoIi3SJq8https://time.com/magazine/us/5932002/february-1st-2021-vol-197-no-3-u-s/
พี่มายมิ้นท์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น