Spoil
- การอดนอนจะทำให้หลอดเลือดตาขยายตัวนำไปสู่การระคายเคืองและเมื่อยล้าในระหว่างวัน
- ในระหว่างการทำงานอาจกินของว่างเป็นผลไม้และถั่วที่มีวิตามิน A C และ E สูง
- อุณหภูมิสีของหน้าจอส่วนใหญ่จะตั้งเป็นแสงสีฟ้าซึ่งมักเกี่ยวข้องกับอาการปวดตา
น้องๆ เคยได้ยินประโยคที่ว่า 'มองตาก็รู้ใจ' ไหมคะ เพราะดวงตานอกจากจะสื่อถึงอารมณ์ของเราแล้ว ยังบอกได้ถึงสุขภาพของเราอีกด้วย แต่ในยุคที่เราต้องอยู่กับหน้าจอทั้งวัน ไม่ว่าจะเล่นโซเชียลหรือทำงานส่งอาจารย์ที่เลี่ยงไม่ได้ ดวงตาของเราทำงานหนักทำให้ตาล้า ตาแห้งและอาจส่งผลต่อสุขภาพของดวงตาในระยะยาว วันนี้พี่เอมีเคล็ดลับบรรเทาอาการปวดตาจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกัน เราจะได้มีดวงตาที่สดใสปิ๊งๆๆ เหมือนเดิม ถ้าอยากรู้แล้วไปอ่านกันเลย!
หลีกเลี่ยงอากาศแห้ง
เวลาต้องนั่งปั่นงานอยู่ที่หน้าจอเป็นเวลานานๆ ถึงแม้เครื่องคอมจะร้อนแต่เราต้องไม่ร้อน! พี่เอเป็นคนหนึ่งเลยที่ชอบหาห้องแอร์เย็นๆ นั่งทำงาน เรียกได้ว่าทั้งวันยังไหว แต่ขอบอกเลยว่าอากาศที่แห้งและเย็นอยู่ตลอดไม่เป็นผลดีกับดวงตาเราแน่ๆ เพราะอากาศแห้งก็จะทำให้น้ำในตาของเราแห้งไปด้วย ทำให้ตาล้าและอาการปวดตาก็จะตามมาในที่สุด น้องๆ ควรแบ่งเวลาพักบ้าง ออกไปเดินเล่นในอากาศอุ่นๆ ของธรรมชาติ หรือปิดแอร์เปลี่ยนมาเปิดพัดลมแทนก็ได้นะ
ยาหยอดตาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
นอกจากร่างกายที่ต้องการความชุ่มชื้นแล้ว ดวงตาของเราก็ต้องการเหมือนกัน เราต้องใช้ดวงตาในการเพ่งไปที่หน้าจอเป็นเวลานานๆ จะเกิดอาการตาแห้ง คล้ายกับร่างกายเวลาขาดน้ำนานๆ ทางเลือกที่ดีอีกทางที่ช่วยลดอาการตาแห้งก็คือ ยาหยอดตา จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาและยังช่วยลดอากาศตาแห้งและเจ็บตาได้ แต่หยอดมากๆ ก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าตาเริ่มล้าแล้วแวะพักชมนกชมไม้ เงยหน้ามามองคนข้างๆ สักหน่อยก่อนก็ได้
ดื่มน้ำให้มากขึ้น
อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าการขาดน้ำจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อร่างกายของเรา ซึ่งดวงตาเองก็ต้องการน้ำด้วยเหมือนกัน ยิ่งเราต้องลืมตาทำงานทั้งวันก็ยิ่งต้องดื่มน้ำเยอะๆ โดยเฉลี่ยแล้วคนเราควรจะดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดตัวและน้ำหนักของเราด้วย เพราะฉะนั้นยิ่งทำงานหนักก็ต้องยิ่งดื่มน้ำบ่อยๆ เติมน้ำให้ร่างกายให้รู้สึกสดชื่นจะได้มีแรงในการทำงานต่อ รู้อย่างนี้แล้วต่อไปเวลาจะนั่งทำงานทุกครั้ง ต้องมีแก้วน้ำเป็นอุปกรณ์สำคัญแล้วนะ
กะพริบตาให้บ่อยขึ้น
มีงานวิจัยออกมาเปิดเผยว่าเวลาที่เราจ้องหน้าจอหรืออ่านหนังสือเป็นเวลานานๆ คนเราจะกะพริบตาน้อยลงกว่าปกติถึง 2 ใน 3 เลย ซึ่งเป็นระบบการทำงานของดวงตาอัตโนมัติถ้าเราโฟกัสหรือให้ความสนใจกับอะไร นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ดวงตาของเราทำงานหนัก อาจเกิดอาการตาล้าหรือปวดตาได้ การกะพริบตาให้บ่อยขึ้นจึงเป็นวิธีแก้ที่ดี เพราะทุกครั้งที่เรากะพริบตาดวงตาของเราก็จะได้พัก ถึงแม้จะแค่เสี้ยววินาทีก็เถอะ 555 ดังนั้นเวลานั่งทำงานอยู่ ให้แบ่งเวลาพักทั้งร่างกายและดวงตาบ้าง อาจตั้งเวลาให้พักทุกๆ 20 นาทีและใช้เวลานี้กะพริบตาช้าๆ หรือหลับตาให้สนิท ทำติดต่อกันประมาณ 10 ครั้งก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาและช่วยให้ตาสบายขึ้นเยอะเลย
พักสักนิด ให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย
เวลานั่งทำงานที่ต้องจ้องหน้าจอเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการปวดตาและรู้สึกไม่สบายตา การลุกขึ้นจากโต๊ะ ขยับไปขยับมา ยืดแขนขาสัก 2-3 นาที หรือนั่งพักสายตามองออกไปให้ห่างจากโต๊ะหรือมองธรรมชาติที่เป็นสีเขียวบ้าง ก็ช่วยได้มากๆ เหมือนกัน
สร้างตารางการนอนให้ดี
ตั้งแต่ตื่นนอนดวงตาของเราก็ไม่ได้พักเลยทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนเย็นต้องลืมตาอยู่ตลอด ช่วงเวลาที่ดวงตาจะได้พักผ่อนจริงก็เป็นช่วงที่เรานอนหลับเมื่อหลับตาดวงตาของเราจะได้รับสารอาหารและน้ำตาทำให้ดวงตากลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง แต่ถ้าเรานอนไม่เพียงพอหรืออดนอนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวนำไปสู่การระคายเคืองและเมื่อยล้าในระหว่างวัน การนอนพักช่วยให้เราได้พักสายตาจากหน้าจอเพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจอดิจิทัลเชื่อมโยงกับการทำงานของสมอง การจัดตารางการนอนให้เต็มอิ่มจะช่วยให้ดวงตาของเราพร้อมสำหรับวันใหม่ ตื่นขึ้นมาพร้อมดวงตาที่สดใส งานหนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น!
กินของว่างเพื่อสุขภาพของดวงตา
นอกจากการกินของว่างให้ท้องอิ่มเพื่อให้มีแรงในการทำงานแล้ว การเติมสารอาหารให้กับดวงตาบ้างก็เป็นสิ่งสำคัญ ในระหว่างการทำงานอาจกินของว่างเป็นผลไม้และถั่วที่มีวิตามิน A C และ E สูงหรืออาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบได้ในวอลนัทและอัลมอนด์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการรองรับความซับซ้อนของเซลล์ในจอประสาทตา ช่วยสู้กับอาการตาแห้งได้แถมยังอิ่มท้องอีกด้วย
ตั้งค่าหน้าจอให้เหมาะสม
อาการปวดตาและตาแห้งเกิดจากการที่เราเพ่งที่หน้าจอนานๆ ซึ่งมีหลายปัจจัยทั้ง ภาพขนาดเล็ก แบบตัวอักษร และแสงไฟกะพริบ ซึ่งการตั้งค่าหน้าจอให้เหมาะสมกับการใช้งานเช่น เพิ่มพิกเซลและขนาดตัวอักษรแบบที่อ่านง่ายขึ้น หรืออัปเกรดหน้าจอให้เป็นจอ LCD แบบแบนที่ใหญ่ โดยขนาดมาตรฐานที่ควรมีคือขนาดเส้นทแยงมุม 19 นิ้ว แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องซื้อของใหม่แค่ตั้งค่าหน้าจอเดิมของเราให้เหมาะสมกับการทำงานก็พอ
ตำแหน่งหน้าจอก็มีผล
นอกจากการตั้งค่าหน้าจอให้เหมาะสมกับการทำงานแล้วตำแหน่งและมุมของหน้าจอก็มีผลต่อการทำงานของดวงตาเหมือนกัน หากวางจอภาพในมุมที่ไม่ถูกต้องก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดตาได้ ซึ่งตำแหน่งที่ดีที่สุดของหน้าจอคอมพิวเตอร์คือ ควรห่างจากใบหน้าของเราอย่างน้อย 20 นิ้ว แต่ไม่เกิน 40 นิ้ว และความสูงควรอยู่กึ่งกลางต่ำกว่าระดับสายตา 4-5 นิ้ว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอียงศีรษะขึ้นหรือลงมากเกินไป และยังช่วยลดอาการปวดคออีกด้วย
ความสว่างที่พอดี
หลายคนคงรู้แล้วว่า เราไม่ควรเล่นคอมพิวเตอร์หรือมือถือในห้องมืดๆ เพราะจะทำให้สายตาเสีย แต่ ไม่ใช่แค่เพียงแสดงสว่างของหน้าจอเท่านั้น แต่รวมถึงบริเวณรอบข้างของเราด้วย ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของสายตา อาจทำให้เกิดอาการตาล้าและปวดศีรษะทางด้านหน้า และเนื่องจากอุณหภูมิสีของหน้าจอส่วนใหญ่จะตั้งเป็นแสงสีฟ้าซึ่งมักเกี่ยวข้องกับอาการปวดตา จะปล่อยพลังงานออกมาสูงทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเครียด โดยสามารถเปลี่ยนหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเป็นโหมดกลางคืน หรือใช้เลนส์ที่ป้องกันแสงสีฟ้าเพื่อบรรเทาอาการได้
ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องมองหน้าจอไม่ได้ แต่เราก็สามารถป้องกันและบรรเทาอาการที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตาของเราได้ งานสำคัญ แต่สุขภาพก็สำคัญเหมือนกันนะคะ น้องๆ ชาว Dek-D คนไหนมีอาการปวดตาหรือมีวิธีไหนช่วยผ่อนคลายเวลาทำงานกันบ้าง มาแชร์ให้เพื่อนๆ ฟังกันได้นะ
ข้อมูลจากhttps://www.allaboutvision.com/cvs/irritated.htmhttps://www.lifehack.org/884361/computer-eye-strain
5 ความคิดเห็น
บทความคุณดีมากเลยค่ะ เป็นกลจ.ในการทำบทความดีๆอย่างงี้ต่อไปนะค่ะ
จริงค่ะ ทุกวันนี้หนูรู้สึกปวดตามากเลย เพราะต้องจ้องหน้าจอคอมทุกๆวันมันก็เลยรู้สึกแสบร้อนที่ตาทุกครั้ง แถมยังมีน้ำตาไหลออกเหมือนร้องไห้ค่ะ บ้างวันก็ใส่ยายอดตาเพื่อช่วยบันเทาอาการป่วดได้บ้างครั้ง อ่านบทความของพี่แล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาเลยค่ะพี่ ขอบคุณค่ะ