Spoil
- การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจไม่ช่วยให้งานราบรื่นขึ้น แต่ช่วยให้หลายๆ ฝ่ายมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น
- ไม่ใช่แค่ไหว้เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการพยากรณ์ด้วย
- การรวบรวมความเชื่อจากหลายๆ แหล่ง ทำให้เกิดขุมความรู้ใหม่ๆ จากเพื่อนต่างถิ่น กลายเป็นการเผยแพร่และดำรงรักษาให้ประเพณีของแต่ละท้องถิ่นยังคงอยู่
__________________
เคยไหมคะ? เวลาไปร่วมกิจกรรมหรืองานเทศกาลใหญ่ๆ แล้วเห็นเมฆดำมืด ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล จนน่าหวาดเสียวว่างานจะต้องยกเลิก แต่แล้วจู่ๆ เมฆดำก็หายไป ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสดใสเหมือนไม่เคยมืดครึ้มมาก่อน! ราวกับมีปาฏิหาริย์แบบนี้ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เชื่อว่าเกิดจาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาช่วยเหลือ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ต้องมีทีมงานฝ่ายพิเศษคอยทำหน้าที่ติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์น่ะสิ?
วันนี้พี่เอจะพาไปรู้จักกับ 'ฝ่ายเทวสัมพันธ์' ของทั้ง 4 มหาวิทยาลัย ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหลายๆ งาน ว่ากันว่าทีมนี้นี่แหละที่สามารถหยุดฟ้าหยุดฝนได้จริงๆ ราวกับซี้กันกับเทวดา อยากรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นยังไง ที่บอกว่าสามารถหยุดฝนได้นั้นจริงแค่ไหน เรามาคุยกับพวกเขากันค่ะ
วันนี้พี่เอจะพาไปรู้จักกับ 'ฝ่ายเทวสัมพันธ์' ของทั้ง 4 มหาวิทยาลัย ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหลายๆ งาน ว่ากันว่าทีมนี้นี่แหละที่สามารถหยุดฟ้าหยุดฝนได้จริงๆ ราวกับซี้กันกับเทวดา อยากรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นยังไง ที่บอกว่าสามารถหยุดฝนได้นั้นจริงแค่ไหน เรามาคุยกับพวกเขากันค่ะ
ฝ่ายเทวสัมพันธ์ อีกหน้าด่านสำคัญ ในการทำกิจกรรม
พี่ดอย หัวหน้าฝ่ายเทวสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าความหมายของคำว่า “เทวสัมพันธ์” ให้เราฟังว่า "ความหมายก็จะตรงตัวเลย คำว่า เทวะ ย่อมาจากคำว่า เทวดา เทพ หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น สัมพันธ์ คือการติดต่อสื่อสาร ฝ่ายเทวสัมพันธ์จึงมีความหมายว่า ฝ่ายที่ทำหน้าที่บอกกล่าวกับเทพหรือสิ่งศักดิ์ก่อนเริ่มทำพิธีต่างๆ เพราะการจัดงานหรือทำกิจกรรมใดๆ เราต้องขอก่อน เพื่อให้เกิดความสิริมงคลและความราบรื่น ผ่านการทำพิธีกรรม การไหว้ การบวงสรวง หรือการขอเจ้าที่เจ้าทาง"
ภาพจาก Twitter @Prince1DHoran
ไม่ได้แค่ไล่ฝน แต่รวมถึงทำพิธีกรรมต่างๆ
แต่ไม่ใช่แค่ยกมือไหว้บวงสรวงง่ายๆ นะ เพราะฝ่ายนี้ยังมีหน้าที่รับผิดชอบอีกมากมาย ตามที่พี่เบส หัวหน้าฝ่ายเทวสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้อธิบายให้เราฟังเพิ่มเติม "หลายคนอาจเข้าใจว่าฝ่ายเราทำหน้าที่แค่ไล่ฝนหรือหยุดฝน แต่จริงๆ แล้วหน้าที่หลักที่เรารับผิดชอบ คือ การเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ บวงสรวง ปักตะไคร้ รวมถึงไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เรามีความเชื่อ เช่นเจ้าที่ ศาล หรือพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย พูดรวมๆ คือเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อนั่นเอง"
ตำแหน่ง "ปักตะไคร้" ไม่ใช่ใครก็ได้!
ส่วนตำแหน่งปักตะไคร้ นางเอกของงานที่ใครๆ ก็รู้กันว่าต้องใช้สาวพรหมจรรย์นั้น แท้จริงแล้วยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีกมาก ตามที่พี่เบส ฝ่ายเทวสัมพันธ์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ให้ข้อมูลเรามา "การเลือกคนมาปักตะไคร้ไล่ฝน เรายึดตามหลักความเชื่อที่มีแต่ดั้งเดิม คือ ต้องเป็นผู้หญิง เกิดวันจันทร์ เป็นลูกสาวคนโต และ ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน หรือเป็นบุคคลที่เส้นพรหมจรรย์ยังไม่ขาด ทั้งนี้ อาจจะยืดหยุ่นได้บ้าง โดยเราใช้การถามเพื่อนของเพื่อน ว่าคนนี้มีคุณสมบัติตรงหรือเปล่า"
ส่วนวิธีการพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นมีคุณสมบัติตรงจริงหรือไม่ พี่อาร์ตตี้ หัวหน้าฝ่ายออร์แกไนซ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า "การจะหาคนที่มีคุณสมบัติตรงแบบนี้นั้นยาก แต่เราอาศัยความเชื่อใจ ถ้าเขามีศรัทธาในการช่วยงานเรา เขาจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เล่นๆ ได้ เพราะเรามีความจริงจังอยู่พอสมควร ดังนั้นคนที่เข้าใจจุดนี้ก็จะการันตีได้ประมาณหนึ่ง แต่จะบอกว่ามีวิธีดูไหมว่าคุณสมบัติเขาถูกต้อง 100% ยังไงมันก็พิสูจน์ได้ยากมากๆ"
ภาพจาก : องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ไม่ใช่แค่เรื่องไสยศาสตร์ แต่ยังใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วยด้วย
แต่หากใครคิดว่าสาเหตุที่กิจกรรมต่างๆ ผ่านไปอย่างราบรื่นนั้นเกิดขึ้นจากความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมต่างๆ พี่ดอย หัวหน้าฝ่ายเทวสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ออกมายืนยันว่า จริงๆ แล้วต้องใช้หลายศาสตร์มาประยุกต์เข้าด้วยกัน " นอกจากการทำพิธีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราก็ต้องประเมินสภาพอากาศในวันจัดกิจกรรมด้วย ว่าระดับน้ำ ฝนเป็นยังไง ความชื้นอากาศมากแค่ไหน เมฆ พายุ เป็นช่วงมรสุมหรือเปล่า โดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา มันต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ศาสตร์หลายอย่าง ใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ประยุกต์เข้าด้วยกัน ไม่ใช่แค่ความเชื่ออย่างเดียว สมัยนี้วิทยาศาสตร์สำคัญที่สุด"
เมื่อเราทำงานด้วยใจ ความสำเร็จก็คือรางวัลตอบแทน
" การทำงานตรงนี้จะใช้เงินจากงบประมาณกลาง ในการเตรียมสถานที่ สิ่งของ และค่าปัจจัยในการนิมนต์พระ-จัดรถรับส่งพระ มีข้าวของที่มัคทายกช่วยเตรียมให้พวกเรา หรือ บางครั้งคนในฝ่ายก็ต้องออกเงินเองบ้าง แต่เราทุกคนสมัครใจมาช่วยงานตรงนี้อยู่แล้ว ไม่มีใครได้ค่าตอบแทนอะไร" พี่อาร์ตตี้จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตอบเรา เมื่อถูกถามถึงค่าตอบแทนของคนในฝ่าย
"จริงๆ ไม่รู้เรียกว่าค่าตอบแทนได้ไหม แต่แค่งานตรงนั้นมันสำเร็จ ฝ่ายเราก็โอเคแล้ว ไม่ได้เงินก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นการทำงานให้มหาวิทยาลัยโดยองค์การนิสิต" พี่เบส จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ
ภาพจาก : องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ไม่เชื่อไม่เป็นไร ขอ แค่ไม่ก้าวก่ายกัน
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย พี่อาร์ตตี้ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เล่าให้เราฟังว่า " จริงๆ คนไม่เชื่อก็มี เพราะเด็กยุคใหม่จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก แต่ด้วยความที่มหาวิทยาลัยของเราเป็นสังคมเปิดกว้างและเป็นสังคมที่หลากหลาย ใครที่ไม่เชื่อก็อย่าไปว่าคนที่เขาเชื่อ เพราะการทำสิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรในเชิงกิจกรรมหรือสุขภาพ ธูปที่ใช้ก็เป็นธูปไร้ควันและศึกษามาอย่างดีแล้วว่าไม่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง ดังนั้นใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แค่อย่ามาก้าวก่ายให้เสียกำลังใจก็พอ แต่เพื่อนส่วนใหญ่ก็จะแค่แซวกันขำๆ มากกว่า"
งานของฝ่ายเทวสัมพันธ์คือทำให้ทุกฝ่ายเกิดความสบายใจ
พี่อาร์ตตี้ยังเสริมอีกว่า "สังคมไทยเรามีความเชื่อทางศาสนา ทั้งในภูมิภาคและเมืองหลวง สังเกตได้จากพระราชพิธีต่างๆ ที่จะมีเรื่องของพราหม์ ฮินดู หรือพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงมองว่าสิ่งเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ช่วยให้งานราบรื่นขึ้น แต่มันช่วยด้านจิตใจ ทำให้ผู้ร่วมงานและทีมงานมีกำลังใจที่ดี เหมือนที่เราพูดกันว่าศาสนาคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ งานของฝ่ายเทวสัมพันธ์ก็คือทำให้ทุกฝ่ายเกิดความสบายใจ พูดตรงๆ ว่าต่อให้ระหว่างงานมีเมฆฝนเข้ามาจริงๆ เราก็คงไม่สามารถไล่ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้ทำอะไรสักอย่างบ้าง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย"
ภาพจาก : องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
กำไรของฝ่ายเทวสัมพันธ์ คือการเรียนรู้ความเชื่อจากหลายกลุ่มชาติพันธุ์
พี่นัทโด ประธานฝ่ายพิธีการ องค์การฝ่ายนักศึกษาและเทวสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทิ้งท้ายให้เราว่า "การมาทำงานในฝ่ายเทวสัมพันธ์ ทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ต่างจากฝ่ายอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามารวมตัวกัน เมื่อความเชื่อไหลบ่ามาพร้อมกับคน มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ลักษณะความเชื่อแต่ละพื้นที่ว่าเป็นเช่นไร ทำพิธีต่างกันอย่างไร เพราะเมื่อมาจากตำราคนละบทกัน แม้แต่อุปกรณ์การไหว้ก็ยังไม่เหมือนกัน จึง ทำให้ได้เห็นถึงวิถีชีวิต ได้เรียนรู้เรื่องภูมิศาสตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชนของเขา มีการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ไม่มีสอนในบทเรียนจาก เพื่อนต่างถิ่น กลายเป็นการนำมาเผยแพร่ และดูแลรักษาให้ความเชื่อนี้ยังคงอยู่"
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการจัดกิจกรรม คือ งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี การทำพิธี หรือ การไล่ฝน ก็เหมือนเป็นการขอพรจากสิ่งศักดิ์ ถึงแม้ไม่สามารถพิสูจน์ได้แบบ 100% แต่ในเมื่อทำแล้วไม่เสียหายอะไร ทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะค่ะ และ น้องๆ คนไหนมีฝ่ายแปลกๆ หรือน่าสนใจแบบนี้ คอมเม้นมาเล่าให้พี่เอฟังได้นะ
0 ความคิดเห็น