สวัสดีชาว Dek-D ทุกคนค่ะ ขึ้นปีใหม่มาแบบนี้คาดว่าคงเป็นช่วงที่หลายๆ คนเริ่มตั้งเป้าหมายที่จะทำในปีนี้ และอีกไม่น้อยที่คงบอกเป้าหมายของตัวเองให้คนรอบตัวฟัง หรือแชร์ลงตามสื่อโซเชียลว่าจะทำอะไรบ้าง แต่น้องๆ เคยเป็นเหมือนกันไหมคะ ตั้งเป้าหมายไว้ซะดิบดีว่าจะตั้งใจเรียนขึ้น จะลดความอ้วน หรือจะงดน้ำหวาน แต่พอถึงสิ้นปีดันไม่มีเป้าหมายไหนที่ทำสำเร็จเลยT__T วันนี้พี่ไปเจอเทคนิคทำเป้าหมายให้สำเร็จจาก TED Talks กับหัวข้อ “เก็บเป้าหมายไว้อย่าบอกใคร” จากคุณ Derek Sivers มาเล่าให้ทุกคนฟังกันค่ะ ซึ่งคลิปนี้จริงๆ มีมานานมากจะ 10 ปีแล้ว แต่ก้ยังมีประโยชน์อยู่ อยากรู้กันไหมคะว่าทำไมถึง “อย่าบอกใคร” ตามมาดูกันเลยค่ะ
ทำไมเป้าหมายถึงควรเป็นความลับ?
เริ่มแรกคุณ Derek ให้เราลองจินตนาการถึงเป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่อยากทำ คิดว่าพอเราบอกเป้าหมายของเราให้คนอื่นรู้ แล้วเราทำสำเร็จพวกเขาจะแสดงความยินดีกับเรามากแค่ไหน แค่คิดแบบนี้ก็มีความสุขและรู้สึกเข้าใกล้เป้าหมายไปอีกขั้นแล้วใช่ไหมคะ?
แต่คุณ Derek เขาบอกว่า ความจริงเราไม่ควรบอกเป้าหมายของเราออกไปหรอกนะ! เพราะความรู้สึกดีๆ ตอนนี้จะทำให้เราไม่อยากทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สักเท่าไหร่ ที่พูดมานี่เขาไม่ได้ยกมาพูดลอยๆ นะคะ แต่มีการทดลองทางจิตวิทยาพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งค่ะ
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “ข้อเท็จจริงทางสังคม” จิตของเราจะเหมือนถูกลวงให้รู้สึกว่าได้ทำสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว พอเรารู้สึกพอใจก็จะมีแรงบันดาลใจที่จะทำตามเป้าหมายน้อยลง ซึ่งความคิดนี้ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมที่ว่า เราควรบอกเป้าหมายของเรากับคนรอบตัวเพื่อช่วยให้เรายึดมั่นกับการทำตามเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งมีนักวิจัยหลายท่านที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้และพบว่าเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น
- ในปี ค.ศ. 1933 เวรา มาห์เลอร์ พบว่า เมื่อผู้อื่นรับรู้เรื่องเป้าหมายของเรา เราก็จะรู้สึกว่าเป้าหมายนั้นเป็นจริงไปแล้ว เช่น บอกคนรอบตัวว่าจะลดน้ำหนักแต่หลังจากนั้นกลับไม่อยากทำซะงั้น!? เหตุผลไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจนะคะแต่เพราะสมองเราเข้าใจว่าเราลดน้ำหนักสำเร็จไปแล้ว
- ในปี ค.ศ. 1982 ปีเตอร์ โกลวิทเซอร์ เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในปี ค.ศ. 2009 เขาได้ทำการทดลองครั้งใหม่ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่
ทดลองยังไงบ้าง?
การทดลองครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการทดลอง 163 คน ในการทดลอง 4 ครั้ง ทุกคนจะเขียนเป้าหมายในชีวิตของตนลงบนกระดาษ โดย ครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมพูดเป้าหมายของตัวเองออกมา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเงียบไว้ ทุกคนมีเวลา 45 นาทีในการลงมือทำตามเป้าหมายแต่พวกเขาสามารถหยุดเมื่อไหร่ก็ได้
ผลจากการทดลองพบว่า
ผู้ที่เก็บเป้าหมายเป็นความลับนั้น ใช้เวลาทั้ง 45 นาทีโดยเฉลี่ย และเมื่อสอบถามหลังการทดลอง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขายังต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย
ส่วนคนที่บอกเป้าหมายของตัวเองออกมา เลิกทำไปตั้งแต่เวลาผ่านไปเพียง 33 นาที และเมื่อสอบถามหลังการทดลอง พวกเขาบอกว่ารู้สึกเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น
สรุปแล้วเมื่อมีเป้าหมายควรทำยังไงดีล่ะ?
พอเห็นแบบนี้ก็พอจะรู้แล้วใช่ไหมคะว่าครั้งหน้าที่ตั้งเป้าหมายเราไม่ควรบอกให้ใครรู้ เพราะจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจน้อยลง แต่ถ้าอยากที่จะพูดเป้าหมายออกไปจริงๆ คุณ Derek เขาแนะนำว่า ให้ลองพูดในแบบที่จะไม่ทำให้เรารู้สึกถึงความพึงพอใจ เช่น
"ฉันอยากเข้าวิ่งมาราธอนรายการนี้จริงๆ ดังนั้นฉันต้องฝึกซ้อม 5 ครั้งต่อสัปดาห์ และถ้าฉันไม่ทำ ก็มาเตะก้นฉันได้เลย”
“ฉันจะไม่กินหมูกระทะในเดือนนี้ ถ้าฉันกินจะยอมไปวิ่งเลย”
"เดือนนี้ฉันจะไปสอบวัดระดับภาษา ฉันจะคัดคำศัพท์เยอะๆ ถ้าฉันไม่ทำเดือนหน้าของดน้ำหวานทั้งเดือนเลย!"
พอได้ฟัง TED Talks อันนี้แล้วก็รู้เลยค่ะว่าตรงกับพี่สุดๆ T-T แต่ก็แล้วแต่นะคะว่าเราชอบวิธีแบบไหน บางคนอาจจะอยากบอกเป้าหมายกับเพื่อนหรือคนรอบตัวไว้ให้คอยช่วยกระตุ้นก็ได้นะ น้องๆ ลองเอาวิธีนี้ไปลองใช้ดูนะคะ ไม่แน่ว่าปีนี้อาจมีเป้าหมายที่ทำสำเร็จเพิ่มขึ้นก็ได้นะ^^
Source:
1 ความคิดเห็น
นี่ก็ไม่เล่าใครนะเวลามีเป้าหมายอะไร เพราะว่าเคยบอกอยู่บ่อยๆแล้วทำไม่สำเร็จ จะรู้สึกเฟลๆ โดนเพื่อนบ่นอีกต่างหากว่าพูดหลายรอบแต่ทำไม่ได้ เลยเปลี่ยนวิธีใหม่ ทำให้สำเร็จก่อนแล้วให้คนรอบข้างสังเกตุความเปลี่ยนแปลงเอาเอง อึดอัดกว่าแต่ทำให้มีแรงบันดาลใจดี