HOW LUCKY I AM : เรียนรู้และเติบโตไปกับความสัมพันธ์ที่งอกงาม ของ พาย-ภาริอร

HOW LUCKY I AM
เรียนรู้และเติบโตไปกับความสัมพันธ์ที่งอกงาม
ของ พาย -ภาริอร

 

สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน เคยรู้สึกท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ และไม่รู้ว่าจะรับมือกับปัญหาที่เข้ามาอย่างไรกันบ้างไหมคะ หลายๆ คนคงเคยรู้สึกแบบนี้ อยากบอกว่า ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกแบบนั้น ยังมีอีกหลายคนที่ต่อสู้กับความรู้สึกพวกนั้นอยู่ วันนี้พี่น้ำก็ขอยกตัวอย่าง สาวแกร่งคนหนึ่งที่มีประสบการณ์เรื่องราวในชีวิตที่ยิ่งกว่านิยาย นั่นก็คือ “พาย - ภาริอร วัชรศิริ” หญิงสาวสุดแกร่งวัย 28 ปี เกิดและเติบโตในครอบครัวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มีกันเพียง 2 คนแม่ลูก คุณแม่ดูแลเธอเป็นอย่างดีเลิศทุกอย่าง ราวกับลูกคุณหนูเลยแหละ

ฟังดูเหมือนชีวิตจะดีมากๆ เลยใช่ไหมคะ แต่เรื่องราวหลังจากนี้นี่แหละค่ะ ที่ทำให้พี่ยกฉายา หญิงสุดแกร่ง ให้ พาย ภาริอร ขอเล่าความย้อนไปนิดนึง เมื่อวันหนึ่งคุณแม่ของพายเส้นเลือดในสมองแตกและกลายเป็นอัมพฤกษ์ ชีวิตของพายในวัย 16 ปี ก็เปลี่ยนไปพายต้องทำทุกอย่างแทนแม่ ต้องเปลี่ยนมาเป็นคนดูแลแม่เอง เป็นเวลานานกว่า 10 ปี พายต้องแบกรับภาระหน้าที่ทุกอย่าง ทั้งยังต้องเรียนไปด้วย แต่พายก็ยังสตรองมากๆ เมื่อทุกอย่างเป็นแบบนี้พายก็ต้องเป็นที่พึ่งให้แม่ แต่แทนที่จะวิ่งหนีพายุลูกใหญ่ที่พัดโถมเข้ามา พายกลับเล่นน้ำฝนอย่างสบายใจ เรื่องราวตลอดระยะเวลาที่พายได้ดูแลแม่จึงเต็มไปด้วยความผูกพัน
 


 

และพายก็ได้มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองออกมาให้เราได้รู้กัน ผ่านบทสัมภาษณ์ต่างๆ และผ่านหนังสือ “HOW I LOVE MY MOTHER” หนังสือที่พายเขียนเป็นเล่มแรกถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตและความรักที่เธอมีต่อแม่ ต่อมาพายก็ได้เขียนหนังสืออีกเล่มที่มีชื่อว่า “HOW I LIVE MY LIFE” ซึ่งบอกได้เลยว่าเมื่ออ่านแล้วจะต้องทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ และแอบมีน้ำตาซึมกันบ้างล่ะ

ในรอบนี้พายก็ออกหนังสือเล่มที่ 3 แล้วในชื่อว่า “HOW LUCKY I AM” แต่เรื่องราวในเล่มนี้จะไม่มีคุณแม่ของพายแล้วนะคะ เพราะท่านได้เสียชีวิตแล้ว ในเล่มนี้จะถ่ายทอดเรื่องราวของความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ของพายผ่าน 20 ความเรียง ซึ่งแฝงไปด้วยข้อคิดดีๆ มุมมองใหม่ๆ อ่านแล้วก็รู้สึกประทับใจและได้ข้อคิดดีๆ จากเล่มนี้เลยอยากนำมาแบ่งปันให้น้องๆ ชาวเด็กดีได้รู้กันค่ะ เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยว่าได้ข้อคิดอะไรบ้าง
 


 

ข้อคิดที่ 1 : แล้วทุกอย่างจะผ่านไป

อย่างแรกเลยที่พี่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ก็คือการได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ได้เข้าใจและเรียนรู้มากขึ้น กับสิ่งต่างๆ ที่เราได้เจอมาทั้งเรื่องดีและไม่ดี ความทุกข์ใจที่เราได้เผชิญมา แล้วไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันได้อย่างไร ในหนังสือเล่มนี้ พายได้บอกไว้ว่า เคล็ดลับ 2 สิ่งที่จะช่วยให้ผ่านพ้นความทุกข์ใจไปได้ คือ ‘เวลา’ และ ‘ใครสักคน’ ในตอนนี้พายได้พูดถึง การสูญเสียคุณแม่ เป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ใจของพาย สิ่งที่ช่วยให้พายข้ามผ่านมาได้ คือการปล่อยให้เวลาค่อยๆ เยียวยาจิตใจ และการที่มีใครสักคนคอยปลอบโยนก็เป็นอีกแรงผลักดันให้เข้มแข็งขึ้น

จากที่ได้อ่านมาทำให้พี่ได้เข้าใจว่า ถึงแม้ว่าเราอาจจะเจอช่วงเวลาที่เจ็บปวดมามากมาย แต่ใช่ว่าเราจะข้ามผ่านความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่ได้ เพียงแค่ต้องใช้เวลา อาจจะช้าหรือเร็วก็อยู่ที่แต่ละคน อย่างน้อยเมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดเหล่านั้นก็คงเบาบางลงไปบ้างแล้ว ปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมัน สำหรับบางคนแค่เวลาคงยังไม่พอ อาจจะต้องมีใครสักคนที่คอยปลอบโยน คอยอยู่ข้างๆ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเรามาก แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่า เราไม่ได้ข้ามผ่านความทุกข์นั้นเพียงลำพัง และพี่ก็เชื่อว่า อีกไม่นานทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ
 

ข้อคิดที่ 2 : อย่าคิดว่าเราโดดเดี่ยว

น้องๆ เคยรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่มีใครบ้างไหมคะ โดยส่วนตัวพี่นั้นเมื่อเจอปัญหาหรือเรื่องราวทุกข์ใจ พี่ก็มักจะจมอยู่กับตัวเอง ไม่เอ่ยปากบอกใครแล้วก็จะคิดว่าตัวเองตัวคนเดียวอยู่เสมอ (เหมือนบ้าเนอะ) พอได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องที่พายเขียนในเล่มนี้ที่ถึงแม้ว่าพายจะผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดมามาก แต่พายก็ยังโชคดีที่อย่างน้อยพายก็ไม่ได้โดดเดี่ยวรอบๆ ตัวยังมีคนที่คอยห่วงใยยังมี ป้า มีเพื่อน มีพี่ๆ หรือผู้คนอีกมากมายที่คอยให้กำลังใจ เป็นที่พักพิงให้พายได้เสมอ ทำให้พี่ตระหนักได้ว่า เป็นตัวเราเองนี่แหละที่ปิดกั้นคนอื่น แล้วก็คิดเองเออเองว่าไม่มีใครที่จะเข้าใจเราหรอก

พายก็ได้บอกไว้ว่า ‘การมีใครสักคนคอยถามไถ่ถึงเราด้วยความปรารถนาดี ก็เป็นเรื่องที่โอบอุ้มหัวใจได้ไม่น้อย’ ประโยคนี้พี่คิดว่าก็จริงเลยทีเดียว พี่ลองมองย้อนกลับมาดูตัวเองตอนที่เจอเรื่องทุกข์ใจแล้วมีเพื่อนคอยปลอบ บอกเลยว่ามันดีจริงๆ จากที่คิดว่าตัวเองโดดเดี่ยวพอมีคนคอยห่วงใยก็มีกำลังใจมากขึ้น เพราะฉนั้นอย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใครเลยนะคะ ลองมองคนรอบตัวให้มากขึ้นแล้วจะรู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว พี่ว่าการได้แชร์เรื่องราวของเราให้คนอื่นฟังมันก็ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้มากเลยทีเดียวนะคะ
 


 

ข้อคิดที่ 3 : กล้าที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ

อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ น้องๆ ก็คงจะเคยได้ยินมาบ่อยแล้วใช่ไหมคะ สำหรับพี่มันค่อนข้างน่าเบื่อ บอกให้เราอย่ากลัว แล้วยังไงต่อ ถ้าไม่กลัวแล้วจะดีอย่างไรเหมือนเป็นแค่คำสั่งให้เราทำให้ไปหาคำตอบเอาเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อ แล้วแบบนี้เราจะกล้าเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไรกัน ที่พี่จะพูดถึงก็คือ คำพูดของพายที่ว่า ‘ยังไงสักวันฝนก็ต้องตก และเราจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้านเพียงเพราะไม่อยากออกไปเปียกฝนก็คงไม่ได้ เพราะอย่างนั้นก็เดินออกไปนั่นแหละ ออกไปพร้อมร่ม แม้ว่าเราอาจจะเปียกบ้าง ติดฝนบ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่เคยออกจากบ้านเลยนี่…’

พี่รู้สึกชอบใจมากอาจจะดูธรรมดาๆ แต่พี่ว่าประโยคนี้มันเจ๋งดีนะ ความหมายก็บอกให้เราอย่ากลัวที่จะเริ่มต้นใหม่นั่นแหละ แต่มันเจ๋งตรงที่พายบอกแบบเป็นเหตุเป็นผลว่า ถ้าเราลองพาตัวเองออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ เราจะได้เจออะไรบ้าง จะต้องรับมืออย่างไร กับการเริ่มต้นใหม่ที่ยังไงสักวันเราก็ต้องเจอ และถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ราบรื่นเสมอไป แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลองออกไปเรียนรู้ ดีกว่าที่เราอยู่เฉยๆ แล้วปิดกั้นตัวเองแบบนั้นพี่ว่าคงน่าเสียดายแย่เลย
 

ข้อคิดที่ 4 : แตกต่างเพื่อเติมเต็ม

หลังจากที่พายได้ผ่านเรื่องราวความเจ็บปวดจากการสูญเสียคุณแม่แล้ว พายก็ได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไปอีกครั้งได้มีสังคม มีเพื่อน มีคนรอบข้าง เข้ามาเติมเต็มในชีวิตที่พายขาดหายไปในช่วงที่ต้องดูแลแม่ และคราวนี้พายก็ได้เปรียบเทียบชีวิตที่เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ไว้ว่า ‘แผ่นภาพชีวิตและความสัมพันธ์ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์ได้จากจิ๊กซอว์ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันมาเรียงต่อกัน แต่เกิดจากจิ๊กซอว์ที่ต่างกันแต่เอามาต่อแล้วลงล็อกพอดิบพอดีกับจิ๊กซอว์อีกตัวได้’ พี่คิดว่าที่พายจะสื่อก็คือ ชีวิตของเรานั้นในส่วนที่ขาดหายไป ไม่ใช่การเอาอะไรที่เหมือนกันมาเติมเต็มกันเพราะบางครั้งมันก็เข้ากันไม่ได้ บางทีมันคือการเปิดรับสิ่งที่แตกต่างกันเข้ามาเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป เราอย่าเพิ่งหมดกำลังใจที่ยังหาคนที่พอดีกับรอยต่อหรือช่องว่างของเราไม่เจอ อาจจะมีใครสักคนที่ต้องการเราในแบบที่เราเป็นอยู่ก็ได้นะ พี่เชื่อว่าเราทุกคนล้วนมีส่วนที่ขาดหายและต้องการเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามและส่วนเติมเต็มนั้นก็อาจจะเป็นอะไรที่แตกต่างจากเราก็ได้ค่ะ
 

ข้อคิดที่ 5 : ลองเปิดใจรับข้อแตกต่าง

น้องๆ ก็คงรู้ใช่ไหมคะ ว่าคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป จะหาคนที่พอดีกับเราได้ทุกอย่างนั้นคงยาก แต่แทนที่เราจะมัวหาคนที่เหมาะกับเราอย่างเดียว ทำไมเราถึงไม่ลองปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นดูบ้างล่ะ ก็เหมือนอย่างที่พายว่า ‘บางทีถ้าเรายอมเป็นฝ่ายที่คิดผิดบ้าง ดีน้อยกว่าบ้าง เพื่อจะได้มีช่องว่างเอาไว้สำหรับผสมผสาน จนกว่าจะเจอจุดที่กลมกล่อมและพอดี เหมือนถ่านไฟฉายที่มีขั้วบวกขั้วลบอยู่คนละด้าน แต่ก็ไม่มีขั้วไหนที่ดีกว่าหรือสำคัญกว่า เพราะไม่มีถ่านไฟฉายที่ไหนใช้งานได้หรอกถ้ามีขั้วเดียว’ ในชีวิตจริงเราก็ต้องพบเจอผู้คนที่หลากหลาย เหมือนกับเราบ้าง ต่างกับเราบ้าง เป็นส่วนผสมที่ปะปนกันไปในสังคม มีผู้คนมากมายในโลกนี้ให้เราได้ทำความรู้จัก หากหาคนที่เหมือนกับเราไม่เจอ ก็ลองลดทิฐิ ลองปรับเปลี่ยนมุมมอง แล้วเปิดใจรับในข้อแตกต่างของผู้อื่นดูสิคะ บางทีข้อแตกต่างของเรากับเขาเมื่อรวมกันแล้วอาจจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและดีกว่าเดิมได้เลยทีเดียวล่ะ
 


 

ข้อคิดที่ 6 : เงินซื้อความผูกพันไม่ได้

น้องๆ เคยได้ยินประโยคนี้ไหมคะ ‘มีเงินล้นฟ้าก็หาซื้อไม่ได้’ บางสิ่งอาจซื้อได้ด้วยเงินก็จริง แต่บางสิ่งต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็หาซื้อไม่ได้ สำหรับพายสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ก็คงจะเป็น ‘ความผูกพัน’ เพราะความผูกพันที่พายได้รับจากคนรอบข้างนั้นไม่อาจวัดเป็นมูลค่าได้ พายผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้เพราะมีคนรอบข้างคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือในตอนที่ลำบาก ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกัน มีเรื่องราวให้จดจำร่วมกันมากมาย จนกลายเป็นความผูกพันทางใจ ที่ไม่ว่าเงินจะมากสักแค่ไหนก็ไม่อาจซื้อได้

ในมุมมองของพาย ‘ความผูกพันเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ต้องใช้เวลาถักทอขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ไม่สามารถเร่งรัดให้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งผ่านพ้นความยากลำบากมาด้วยกันมากเท่าไหร่ สายใยที่ทอร่วมกันก็จะยิ่งแน่นหนาผูกกระชับคนในความสัมพันธ์เอาไว้อย่างแน่นแฟ้น’ สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในความสัมพันธ์ ก็คือ ความผูกพัน นี่แหละค่ะ พี่คิดว่าก็จริงนะคะ ความผูกพันที่เราได้สร้างขึ้นมานั้นมันช่วยเราได้หลายอย่างเลยล่ะ คอยช่อยเหลือเกื้อกูล ได้มอบสิ่งดีๆ ให้แก่กัน ยิ่งผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะยิ่งทำให้เราเห็นค่ามันมากขึ้น ซึ่งบอกได้เลยว่าต้องใช้ใจเท่านั้นถึงจะซื้อมาได้
 

ข้อคิดที่ 7 : การแบ่งปันให้ผู้อื่น

จากที่ได้อ่านเรื่องราวของพายในหนังสือเล่มนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าพายเป็นคนที่มีพลังบวกมากๆ ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสแค่ไหนพายก็รับมือกับมันได้ นอกจากพลังบวกที่พายมีให้ตัวเองแล้ว พายยังเป็นคนที่คอยส่งต่อพลังบวกของตัวเองให้คนรอบข้างอีกด้วย ทั้งทัศนคติ คำแนะนำต่างๆ พายก็มักจะแบ่งปันคนอื่นเสมอ และวิธีที่ดีที่สุดที่จะแบ่งปันอะไรสักอย่างของพายที่ได้บอกไว้ คือ ‘มันไม่ใช่การควักสิ่งที่เรามีออกมายื่นให้คนอื่นจนเราเหว้าแหว่ง แต่เป็นการที่เราเติมตัวเองจนเต็ม จนสุดท้ายมันล้นและเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นมากกว่า’ การที่พายจะแบ่งปันสิ่งดีๆ หรือส่งต่อพลังบวกให้คนอื่นได้นั้น พายเองก็ต้องเติมเต็มสิ่งดีๆ ให้ตัวเองจนเต็มเสียก่อน จนมันล้นออกมาเผื่อแผ่คนรอบตัว เขาก็จะรู้สึกได้ และการแบ่งปันที่ง่ายที่สุด พี่ว่าก็คงจะเป็นการแบ่งปันความสุขนี่แหละค่ะ อาจจะเป็นแค่การยิ้มให้กันก็ได้ ถ้าเรายิ้มให้อย่างน้อยเขาก็ต้องยิ้มตอบเราบ้างล่ะ ทั้งเราและเขาก็อิ่มเอมใจ ไม่มีอะไรเสียหายเลยใช่ไหมล่ะ ลองทำกันดูนะคะถือซะว่าเป็นการผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ค่ะ
 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่พี่ได้เรียนรู้จากการอ่าน “HOW LUCKY I AM” ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า พาย ภาริอร จะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองออกมาได้น่าสนใจขนาดนี้ แถมยังสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนที่อ่านได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าพายจะพบเจอช่วงเวลาที่ทุกข์ใจสักแค่ไหน แต่พายก็ยังมีพลังที่เต็มล้น ข้ามผ่านปัญหาต่างๆ มาจนได้ พี่อ่านเล่มนี้จบแล้วก็รู้สึกเหมือนได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ไม่ว่าจะจบลงหรือยังคงอยู่ก็ล้วนเป็นเรื่องราวที่สวยงาม ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เข้ามาก็เพื่อเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้และโตขึ้น สำหรับใครที่คิดอยากจะหาหนังสือที่อ่านแล้วช่วยสร้างแรงบันดาลใจ หรือรู้สึกได้รับพลังบวกเพิ่มขึ้นล่ะก็ พี่ก็ขอแนะนำเล่มนี้เลยค่ะ “HOW LUCKY I AM” และพี่ก็หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับน้องๆ ได้ สำหรับวันนี้พี่ก็ต้องลาไปก่อนแล้วพบกันใหม่ สวัสดีค่ะ

 

พี่น้ำ ^^

พี่น้ำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด