เคล็ดลับการเขียนนิยายให้สนุก ไม่เครียด จากวินนี่เดอะพูห์



เคล็ดลับการเขียนดีๆ จาก Winnie the Pooh



สวัสดีนักอ่านและนักเขียนชาวเด็กดีทุกคนค่ะ สำหรับบทความประจำวันนี้พี่ขอหยิบยกเรื่องราวของตัวละครหมีสุดน่ารักในหนังสือ วินนี่ เดอะ พูห์มาพูดถึงกันพร้อมกับเคล็ดลับการเขียนดีๆ ที่ไม่รู้ว่าคนที่เป็นนักเขียนเขาตั้งใจจะใส่ไว้ในเนื้อหาหรือเปล่า แต่เราก็สามารถหยิบเอามาเป็นเคล็ดลับเตือนใจในเวลาทำงานได้ซะงั้น หรือถ้าน้องๆ นักเขียนคนไหนมีเคล็ดลับในการเขียนที่น่าสนใจก็สามารถนำมาแบ่งปัน แลกเปลี่ยนให้กันได้นะจ๊ะ เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปตามดูกันดีกว่าว่าวินนี่ เดอะ พูห์ เขาได้สอนอะไรเราไว้บ้าง


 

ภาพจาก : www.standard.co.uk

 
วินนี่ เดอะ พูห์ (Winnie the Pooh) เป็นตัวละครของหมีน้อยหน้าตาน่ารักที่สร้างขึ้นโดย เอ. เอ. มิลน์ ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อตามตุ๊กตาหมีของบุตรชาย (คริสโตเฟอร์ โรบิน มิลน์) และนอกจากตุ๊กตาหมีจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานของเขาแล้ว คริสโตเฟอร์ โรบิน มิลน์เองก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครอย่าง คริสโตเฟอร์ โรบิน ด้วยเช่นกัน ขอย้อนกลับมาที่วินนี่กันสักนิดนึง ‘วินนี่’ นั้นเป็นหมีที่น่ารัก และมันเองก็ยังมีความผูกพันกับเพื่อนสัตว์ชนิดอื่นด้วยเช่นกัน เอกลักษณ์ของตัวละครหมีพูห์ตัวนี้ นอกจากจะเต็มไปด้วยความน่ารักแล้ว มันยังเป็นหมีที่หิวได้ตลอดเวลาอีกด้วย ไม่ว่าสิ่งใดจะเงียบ แต่ท้องของพูห์มักก็จะร้องเสียงดังขึ้นมาเสมอ ถือว่าเป็นเสน่ห์ที่น่ารักและน่าเอ็นดูมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ?


 



 


 
คนเรามักจะกังวลและวิตกกังวลในสิ่งที่ยังไม่มาถึง หรืออย่างที่สำนวนไทยว่ากันว่า ‘ตีตนไปก่อนไข้’ ซึ่งเรานั้นไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เรากำลังกังวลอยู่นั้นจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้น ดังเช่นตัวละครของพิกเล็ต ที่คิดถึงในสิ่งที่ทำให้ตัวเองกังวลจนพาลให้หวาดกลัว ก็เหมือนกับนักเขียนอย่างเรานี่แหละ เพราะถ้าหากเรามัวแต่ยึดติดอยู่กับคำว่ากลัว กลัวว่าจะมีข้อผิดพลาด กลัวว่าการตัดสินใจของเราจะผิด ถ้ามัวแต่กลัวและกังวลอยู่อย่างนี้ เราจะเจอหนทางที่ถูกต้องได้ยังไง หรือบางทีมันอาจจะไม่มีอุปสรรคอะไรมาขัดขวางอย่างที่เรากำลังคิดมากอยู่ก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าทำตัวขี้กังวลเหมือนพิกเล็ตกันเลยนะจ๊ะ




 


 
นักเขียนส่วนใหญ่มักจะมีช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวอยู่กับตัวเอง อย่างไรก็ตามเมื่อยุคสมัยของสังคมมันเปลี่ยนไป คนเป็นนักเขียนก็ควรหัดที่จะหันหน้าเข้าสังคมไปพบปะกับผู้คนบ้าง ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่นักเขียนแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ เอาจริงๆ เราทุกคนไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร อย่ามัวแต่ใช้ช่วงเวลาต่างๆ หมดไปกับการอยู่กับตัวเอง แต่เราควรหาหนทางที่จะพัฒนาตัวเองผ่านการสร้างความสัมพันธ์บ้างอะไรบ้าง เพราะมันจะทำให้เราเติบโตขึ้นมากเลยนะ ถึงแม้ว่าเราจะคิดว่าการอยู่กับตัวเองนั้นปลอดภัยและสร้างความสบายใจให้เกิดขึ้นกับเรามากกว่าการออกไปพบปะกับผู้คน แต่ถ้าเราไม่ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับอะไรใหม่ๆ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการย้ำอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากให้ตัวเองได้เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น ก้าวแรกเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเองจ้ะ




 


 
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดของพูห์ที่ยกมานั้น สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเราได้ทันทีที่อ่านจบ เพราะบางครั้งเราอาจจะมีการพูดว่าตัวเองในเชิงลบ หรือแม้กระทั่งการขาดความเชื่อมั่นในตัวเองก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันสามารถบั่นทอนจิตใจจนอาจจะทำให้เราสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจตัวเองไปได้เลย ซึ่งในตอนแรกคนเราอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรกันหรอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า มันอาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงที่สุดกับจิตใจของเราก็เป็นได้ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เราไม่สามารถเป็นคนเดิมที่เคยเป็นได้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อสิ้นหวังหรือหมดพลังขอจงเตือนตัวเองเอาไว้เสมอว่า เรานั้นมีความสามารถและมีอะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวอีกมากมาย รอแต่เวลาเท่านั้นที่จะทำให้เราแสดงเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นออกมา สู้ๆ นะจ๊ะทุกคน!




 


 
การกำหนดเดดไลน์ของตัวเองนั้น เราไม่ควรทำให้มันยุ่งยากหรือยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะถ้าหากเราพบว่าการกำหนดเดดไลน์ของเรา เมื่อถึงเวลาจริงๆ เรากลับทำไม่ได้ หรือใกล้เวลาเข้ามาแล้วแต่งานยังไม่ถึงไหน มันอาจจะส่งผลทำให้เราต้องพยายามหนักขึ้นๆ กว่าเดิมอีกเป็นสิบๆ เท่า ซึ่งมันอาจจะทำให้เราสูญเสียเวลาในการทำงานไปเยอะมาก จนอาจจะไม่ได้พักผ่อน หรืออาจแย่ถึงขนาดที่สุขภาพย่ำแย่ไปเลยก็เป็นได้ ดังนั้นการทำงานที่สร้างสรรค์และส่งผลกระทบในด้านบวกกับเราจริงๆ บางครั้งอาจจะต้องแลกมากับอะไรที่เราไม่คิดว่าตัวเองจะยอมทำ หรือไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ยกตัวอย่างเช่น การยอมอ่อนให้ตัวเองดูบ้าง ใช้เวลาไปกับการพัก อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรดูบ้าง เพราะบางทีมันอาจจะทำให้การทำงานของเราไม่เคร่งเครียดมากเกินไป เผลอๆ อาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมก็ได้นะ




 


 
น้องๆ นักเขียนเคยประสบกับปัญหาที่เขียนๆ อะไรไปแล้วใช้ไม่ได้จนต้องลบทิ้งไหม พี่จะบอกว่าอย่าเพิ่งรีบลบหรือขยำมันลงถังขยะไป เพราะมีนักเขียนหลายคนที่ทำแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วคือยังไง? ก็ต้องเดินกลับไปเก็บมันขึ้นมาใหม่น่ะสิ ขอบอกเลยว่าชิ้นงานทุกชิ้นมีค่า ตัวอักษรทุกตัวนั้นมีความหมาย อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจอะไรไป เพราะบางทีการตัดสินใจในครั้งแรกของเราอาจจะผิดพลาดก็ได้ 




 


 
นักเขียนรุ่นใหม่มักจะรีบร้อนและใจร้อนอยู่เสมอ โดยเฉพาะนักเขียนบางคนที่ขยันปั่นงาน หามรุ่งหามค่ำเพื่อเร่งให้มันเสร็จเร็วๆ และรีบส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณาต่อเลย แบบนี้มันดีแล้วหรอ? สำหรับพี่นั้นมองว่า การฝึกความอดทนเป็นอีกหนึ่งทักษะที่คนเป็นนักเขียนควรจะฝึกฝนเอาไว้บ้างก็น่าจะดี เพราะพี่เชื่อว่ากว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จได้ มันก็ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองอยู่พอสมควร ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ ต้องเดี๋ยวนี้ๆ เท่านั้น หรือถ้าเขียนนิยายจบเรื่องหนึ่งแล้ว ส่งให้สำนักพิมพ์ไปแล้ว ก็ไม่ยอมพัฒนาฝีมือของตัวเองในการเขียนเรื่องต่อไปต่อ เอาแต่เสียเวลารอคอยอยู่อย่างนั้น แบบนี้มันไม่ถูกต้องเลยนะ เชื่อพี่เถอะจ้ะ ทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา อดทนกันหน่อยนะคนเก่ง เดี๋ยวอะไรดีๆ ก็ตามมาเองนั่นแหละจ้า



 


 
ถึงแม้ว่าเนื้อหาของวินนี่ เดอะ พูห์ จะไม่ได้สอนเราตรงๆ แต่เราก็สามารถนำข้อคิดที่ได้จากการอ่านนี้มาปรับใช้กับการทำงานของเราได้เหมือนกัน หรือถ้าน้องๆ คนไหนจำประโยคเด็ดๆ โดนใจๆ ประโยคอื่นได้ ก็สามารถเข้ามาร่วมแชร์ ร่วมแบ่งปันให้กับพี่และเพื่อนๆ นักเขียนคนอื่นๆ กันได้ หวังว่าบทความจากพี่ในวันนี้จะถูกใจทุกคนกัน และไว้เรามาเจอกันใหม่ในบทความหน้า สำหรับวันนี้พี่ต้องลาไปแล้ว สวัสดีจ้า

 
พี่นัทตี้ :)

 

ขอบคุณแหล่งที่มาดีๆ จาก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0-%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B9%8C 
https://www.goodreads.com/work/quotes/1225592-winnie-the-pooh 

 

 
พี่นัทตี้
พี่นัทตี้ - Columnist บุคคลผู้เสพติดการดูหนังแนวสยองขวัญ ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเขียน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

6 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด