ชีวิตฝึกงานที่ญี่ปุ่นของ 'พล' ในบริษัทยักษ์ใหญ่ กับหน้าที่การทำหุ่นยนต์เพื่อการแพทย์


      สวัสดีค่ะชาว Dek-D วันนี้มาพบกับพี่หมิวและประสบการณ์เด็กนอกอีกเช่นเคยค่ะ เรื่องที่พี่จะเอามาแชร์วันนี้เป็นเรื่องราวของพี่คนนึงที่เขามีความชอบหุ่นยนต์เอามากๆ เลยคิดที่จะไปศึกษาเรื่องการสร้างหุ่นยนต์ต่อที่ต่างประเทศ และที่สำคัญ! เขาได้ไปฝึกงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นอย่าง 'Panasonic' ด้วยค่ะ เรื่องของเขาจะน่าติดตามแค่ไหน มาดูกันเลยค่า


แนะนำตัว
 


Photo Creditt: Pol Najpol

      สวัสดีครับ ชื่อ ‘พล- ณัชพล เตชะพิชญะ’ เรียนจบจากสาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่บริษัท 'Panasonic' เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 เดือนครับ


สนใจเรื่องหุ่นยนต์ทางการแพทย์


      มันเริ่มต้นที่เรามีความสนใจในเรื่องการทำหุ่นยนต์อยู่แล้ว ประกอบกับการที่เราเรียนในสาขาที่เกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ผมเลยคิดว่าอยากไปฝึกงานที่ต่างประเทศดู เพราะต่างประเทศเขาน่าจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าเรา ผมเลยลองเข้าไปปรึกษาอาจารย์ว่าจะไปฝึกงานที่ไหนได้บ้าง ทีนี้อาจารย์เลยช่วยติดต่อประสานงานกับทางญี่ปุ่น ว่าจะส่งผมไปฝึกงานนะ ทางญี่ปุ่นก็ตอบกลับมาว่าโอเค เขาเลยส่งผมไปเรียนพื้นฐานก่อน 2 อาทิตย์ที่ ‘นากาโอกะ’ หลังจากนั้นอีก 3 เดือนผมก็ได้ไปฝึกงานแบบเต็มตัวที่บริษัท Panasonic ครับ

      ตอนที่ผมไปฝึกงานเป็นช่วงตอนปี 3 จะขึ้นปี 4 ผมได้ทุนส่วนนึงจากทางมหาวิทยาลัย แต่ค่าใช้จ่ายพวกค่าหอ ค่ากินอยู่ก็ต้องออกเองหมดครับ  
 

      ที่ผมไปฝึกงานมันเป็นเกี่ยวกับการทำหุ่นยนต์เพื่อการแพทย์ครับ เป็นหุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงพยาบาล เอาไว้ส่งยาหรือเดินเรื่องแทนพยาบาล พยาบาลจะได้ดูแลคนไข้อย่างเดียว ไม่ต้องมาทำในส่วนนี้ ลักษณะของหุ่นยนต์จะเป็นหุ่นขยับได้ ตัวเท่าๆ เรา มีหน้าจอ มีเซ็นเซอร์ระบบปฎิบัติการต่างๆ สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ไม่ถึงกับหุ่นยนต์แบบในหนังสตาร์วอร์อะไรแบบนั้นนะ เป็นหุ่นแบบธรรมดาๆ ครับ

      โดยรวมแล้วคือไปศึกษาว่าหุ่นยนต์มันมีโครงสร้างยังไง เรียนเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย (Safety Standard) ที่เราจะต้องให้ความสำคัญ อย่างเช่นถ้าเป็นหุ่นที่ใช้ในโรงงาน เราก็จะต้องเป็นกังวลถึงเรื่องระบบไฟฟ้าละ แต่ถ้าเป็นหุ่นที่ทำงานในโรงพยาบาล เราก็ต้องกังวลถึงเรื่องที่มันจะไปทำร้ายคน หรือชนคนอื่นไม่ได้ ต้องระวังเป็นพิเศษ และจะต้องรองรับได้ว่าปลอดภัย คือมันอยู่ที่วัตถุประสงค์ของการใช้งานมากกว่าครับ เราเลยต้องให้ความสำคัญกันคนละแบบไป 
 

      ตอนที่ผมไปฝึกงานที่ 'Panasonic' เขาก็ให้ผมรื้อ แกะชิ้นส่วนหุ่นออกมาดูเลยครับ ว่ามันเป็นยังไง มีส่วนประกอบอะไรบ้าง โดยมากก็ศึกษาพวกเรื่อง Hardware Software การเขียนโปรแกรม ตั้งโปรแกรมให้หุ่นทำงานได้ แล้วก็ทำสไลด์เพื่อนำเสนองาน อย่างเช่นเรื่องที่ว่า จะมีแนวทางทำหุ่นยนต์แบบนี้ไปใช้ที่ไทยมั้ย ปัญหาต่างๆ ที่เราพบคืออะไร บางทีผมก็ต้องออกไปดูงานนนอกสถานที่ อย่างเช่นตามโรงพยาบาล หรือต้องบินไปโตเกียว ไปดูงาน 'Japan Medical Expo' อะไรแบบนี้ด้วยครับ แต่มันดีตรงที่เขาออกค่าใช้จ่ายให้หมดเลย


มีอุปสรรคทางด้านภาษามากๆ 


      ผมไปฝึกงานคนเดียวเลยครับ โซโล่เดี่ยวเลย บินคนเดียว ทำอะไรคนเดียวหมด แต่สิ่งที่ผมว่ายากมากๆ เลยคืออุปสรรคทางภาษาที่แหละครับ คือผมพูดอังกฤษได้ แต่คนญี่ปุ่นเขาไม่พูดอังกฤษกันอะ ไม่ว่าจะคนตั้งแต่คนระดับสูงไปจนถึงระดับล่าง เขาก็ไม่พูดกัน อย่างตอนไปฝึกงานในโรงงาน พวกคู่มือต่างๆ เอกสารจะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยครับ ไม่มีภาษาอังกฤษเลย ผมก็ต้องไปถามคนที่เข้าใจภาษาอังกฤษว่า เอกสารอันนี้มันแปลว่าอะไร ถ้าไม่มีใครเข้าใจเราจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วก็ใช้อักษรภาพช่วยเอาครับ แต่ก็มีความโชคดีในโชคร้ายอยู่บ้าง พอดีว่าทางบริษัทเขามีขายหุ่นให้กับทางสิงคโปร์ เลยพอจะมีคู่มือที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยครับ 
 

      อีกอย่างมันก็เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของผมอยู่เหมือนกันนะ อย่างเช่น เวลาเราไปไหน เราหลงทาง ไปซื้อของ มันต้องรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างอะ มันถึงจะช่วยให้ดีขึ้น อย่างมีตอนนึง ผมไปจอดจักรยานผิดที่ คือมันมีป้ายบอกแหละมั้งว่าห้ามจอด แต่ด้วยความที่ผมอ่านไม่ออกไง อีกอย่างคือก็เห็นมันมีคันอื่นจอดอยู่ ประมาณ 10 คันได้ เลยไปจอดบ้าง ทีนี้พอผมกลับมาตอนเย็น จักรยานหายไปละ งงมาก หายไปหมดเลยที่จอดเอาไว้กันตรงนั้น55555 ผมเลยไปหาเพื่อนคนจีน ไปให้เขาช่วยว่าจะทำยังไงดี เขาก็บอกว่าเออ แถวนี้มีโรงพักนะ จะลองไปดูมั้ย เผื่อว่าเขาจะเอาจักรยานผมไป ผมก็โอเค สรุปว่าอยู่ที่โรงพักจริงๆ ครับ คือผมไปจอดจักรยานในที่ห้ามจอด เลยโดนปรับไปตามระเบียบ เอาจริงๆ ถ้าผมรู้ว่ามันจอดไม่ได้ก็คงไม่จอดหรอกครับ555555 
 

      ส่วนเรื่อง Culture shock ไม่ค่อยมีเท่าไหร่นะ มีแค่ตอนอาบน้ำ คือหอที่ผมอยู่เป็นหอของทางบริษัทครับ แต่ห้องอาบน้ำคือเป็นแบบรวม ทีนี้เราเลยต้องแก้ผ้าหมด เดินแบบเปลือยๆ เข้าไปเวลาจะแช่อ่าง แต่หลังๆ ก็เริ่มชินครับ

      ถ้าพูดถึงนิสัยคนญี่ปุ่นที่ผมเจอมา เวลาเขาทำงานจะค่อนข้างจริงจัง งานเป็นงาน ไม่คุยเล่นกันเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ก็ใจดี เวลาผมหลงทางเข้าไปขอความช่วยเหลือ เขาก็พร้อมเข้ามาช่วยตลอด  


ได้ฝึกทักษะการอยู่คนเดียวและการเอาตัวรอด 


      ด้วยความที่ผมไปคนเดียว เลยต้องอยู่คนเดียวเยอะหน่อย แต่ผมก็พยายามหาเพื่อนนะ เราจะได้ไม่เหงา และเราจะได้ขอความช่วยเหลือจากเขาได้ด้วย ถ้าเราเกิดปัญหาอะไร มีเพื่อนญี่ปุ่นไว้นี่จะดีมากๆ เลยครับ อย่างตอนนั้นที่ต้องไปตามหาจักรยานที่โรงพัก เราไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ถ้าไม่ได้เพื่อนช่วยก็คงแย่ครับ
 

      อีกอย่างคือผมได้ฝึกการแก้ไขสถานการณ์ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะผมไม่รู้ภาษาบ้านเขาเลย เวลาเราจะสื่อสารอะไรกับใครก็ค่อนข้างลำบาก มีครั้งนึงผมนั่งรถไฟแล้วเผลอหลับ ตื่นมาอีกทีไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เลยไปถามยาม เราก็ต้องพยายามสื่อสารให้ได้มากที่สุด จะทำยังไงให้เขาเข้าใจเราและเราเข้าใจเขา

      จริงๆ ผมก็ต้องพึ่ง 'Self-Learning' เหมือนกันนะ เรียนรู้เองบ้าง ใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นถ้าเราไม่เข้าใจคำไหน เราก็พยายามรู้แค่คีย์เวิร์ดพอ แล้วเอาคำพวกนั้นไปเสิร์ชกูเกิลเอา 


สิ่งที่เสียดายที่สุดคือ ไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนมาฝึกงาน


      ตอนแรกที่ผมมาก็กังวลนะว่าเราจะรอดมั้ย มาคนเดียวด้วย จะเอายังไงดี เริ่มยังไงดี แต่สุดท้ายผมก็ผ่านมันไปได้นะ ผมว่าการพยายามหาเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เราจะได้ไม่เหงา ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ผมว่าการมาฝึกงานของผมที่ญี่ปุ่นมันเป็นอะไรที่คุ้มมากๆ แต่สิ่งที่เสียดายที่สุดคือ เราน่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนมาที่นี่ ไม่อย่างงั้นมันจะทำให้อะไรๆ ง่ายกว่าเดิมเยอะเลยครับ 
 

      อีกสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการอยู่คนเดียวของผมเลยคือ อินเทอร์เน็ตครับ ผมว่าการใช้สื่อเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์ก็ช่วยได้มากๆ เหมือนกัน ไม่รู้อะไรก็เสิร์ชหาเอาเลยครับ หลงทางก็ลองเปิดแผนที่ดู ผมว่าการอยู่คนเดียวมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าเรามีอินเทอร์เน็ตครับ555555


การเตรียมตัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด


      ข้อแรกเลยถ้าเราจะทำอะไรก็ตาม เราควรเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด อย่างผมจะไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น ผมควรเตรียมตัวเรื่องภาษาญี่ปุ่นมาบ้าง คือด้วยความที่ผมพูดอังกฤษได้ ก็เลยคิดว่าคงไม่มีปัญหาหรอก แต่ที่ไหนได้ คนที่นี่เขาไม่พูดอังกฤษกับผมอะ ก็เลยทำให้มีปัญหาทางการสื่อสารกันนิดหน่อย อย่างน้อยๆ เรียนคำศัพท์ หรือประโยคพื้นฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นพวกคำทักทาย กินข้าว สั่งของ ก็โอเคละ ผมว่าการรู้เขารู้เรานี่ดีที่สุดแล้วครับ เตรียมตัวให้พร้อมว่าเราจะไปเจอกับอะไรบ้าง ศึกษาหาข้อมูลประเทศเขาให้เยอะๆ มันจะช่วยให้เราผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดีมากๆ เลยครับ 



      ชีวิตของพลนี่สุดยอดจริงๆ ค่ะ จากความชอบเรื่องหุ่นยนต์ จนได้มาฝึกงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ถึงเเม้ว่าจะมีอุปสรรคทางภาษาอยู่บ้าง เเต่พลก็ผ่านมันมาได้ นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่เจ๋งมากๆ ค่ะ พี่ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ ได้ทำตามความฝันของตัวเองกันนะคะ ^^ 
พี่หมิว
พี่หมิว - Columnist จบเอกอิ้ง ชอบปิ้งหมูกิน แถมอินกับหนัง ฟังเพลงเสียงดัง หูแตกไปเลยจ้า

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น