เรื่องราวของ 'จีซอง' เด็กกำพร้าวัย 13 และครอบครัวของเขา...คลิปที่คนเกาหลีแห่แชร์สนั่นโซเชียล

ชวนทำแบบฝึกหัดภาษาเกาหลี (คำศัพท์+ไวยากรณ์) ลุ้นรับเครื่องเขียนจากเกาหลี!
   
       สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และ KoreanKori ที่จะนำเรื่องสนุกๆ จากเกาหลีมาฝากเช่นเคยค่ะ^^ วันก่อนพี่เห็นคลิปรายการเกาหลีรายการหนึ่งเป็นที่พูดถึงและถูกแชร์บนโลกโซเชียลเยอะมากๆ พอกดดูคลิปแล้วก็ชอบมากๆ เลย เลยอยากนำมาเล่าต่อให้ได้อ่านกัน
   
       รายการนี้มีชื่อว่า 사람과 사람들 (ซารัมกวา ซารัมดึล) ความหมายคือ คนและผู้คน ออกอากาศทางช่อง KBS นำเสนอเรื่องราวของคนที่มีสตอรี่น่าสนใจ โดยตอนล่าสุดที่ออกอากาศไปชื่อตอนว่า เราอาศัยอยู่ด้วยกันได้ไหม? .... บอกก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดราม่าเรียกน้ำตาอะไรนะคะ แต่ดูจบแล้วมันรู้สึกว่า .... อืม ดีจังเลยอะ^^

  

        ที่เมืองกาพยอง เกาหลีใต้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่พร้อมกับลูกสาวน่ารักมากๆ 2 คน


   
      คังแนอู และ อีจีมิน เป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานอยู่กินกันมา 7 ปีแล้ว อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีอายุการใช้งานกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นบ้านมือสองที่ซื้อมาอีกที

     
       หน้าที่ในทุกเช้าของทั้งคู่คือการส่งลูกสาวคนโตและคนเล็กไปโรงเรียน โดยลูกสาวคนโต "แฮดซัล" วัย 5 ขวบจะขึ้นรถไปโรงเรียนอนุบาล ส่วนคนเล็กวัย 4 ขวบ "อีซึล" จะไปยังศูนย์เลี้ยงเด็กอ่อน ... ชื่อของน้องทั้งสองนั้นน่ารักมากเลยค่ะ แฮดซัล แปลว่า แสงแดด และ อีซึล แปลว่า น้ำค้าง

   
      หลังจากส่งลูกทั้งสองไปโรงเรียนแล้ว ทั้งคู่ก็พอมีเวลาส่วนตัว จากนั้นฝ่ายชายจะออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนฝ่ายหญิงจะคอยดูแลบ้านค่ะ


     
       ฝ่ายคุณพ่อโชว์รูปถ่ายครอบครัวให้ดูด้วยความภูมิใจพร้อมเล่าว่า รูปนี้ถ่ายเมื่อปลายปีก่อน ตอนที่เพิ่งรับอีซึล(คนเล็ก)เข้ามาอยู่ด้วย ..... ใช่แล้วค่ะ สองสาวน้อยไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เป็นลูกบุญธรรมนั่นเอง


     
       อีจีมิน ผู้เป็นภรรยาเล่าว่า เธอกับสามีไม่คิดเลยว่าการมีลูกจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ เคยคิดแค่ว่า ถ้ามีได้คนเดียวก็ไม่เป็นไร ค่อยไปรับอีกคนมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมก็ได้ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่เลย เธอมีลูกไม่ได้ ตอนแรกก็ทำใจอยู่นานเหมือนกันว่าจะต้องไปรับลูกบุญธรรมซึ่งเป็นลูกคนอื่นมาเลี้ยงจริงๆ เหรอ

   
      เธอเล่าว่า ในตอนที่รับแฮดซัล(คนโต)เข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ๆ นั้น เธอเครียดและประหม่ามากๆ จนคืนวันหนึ่งหลังจากรับแฮดซัลเข้ามาได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ขณะที่นอนอยู่ดีๆ เธอก็น้ำตาไหลออกมาจนแฮดซัลตกใจ และอยู่ดีๆ แฮดซัลพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าขึ้นมาว่า "แม่ หนูขอโทษ" ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดและอายลูกมากๆ  .... ตั้งแต่นั้นมา เธอจึงตั้งใจจะเลี้ยงลูกสาวให้ดีที่สุดถึงแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็ตาม ซึ่งแฮดซัลก็โตพอจะรับรู้ได้เช่นกันว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบ้าน

     
       อย่างในภาพบน เธอเปิดอัลบั้มรูปสมัยยังเป็นเด็กทารกของแฮดซัลให้เจ้าตัวดู พร้อมอ่านการ์ดวันเกิดที่แฮดซัลเคยได้รับจากครูและเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์เลี้ยงเด็กกำพร้าให้แฮดซัลฟังค่ะ โดยแฮดซัลมีชื่อเดิมว่าแฮอิน และเจ้าตัวก็รู้ด้วยนะว่าตัวเองเคยชื่อแฮอิน ส่วนแฮดซัลเป็นชื่อใหม่หลังจากเข้ามาอยู่บ้านนี้ค่ะ

       อีจีมินเล่าว่า ก่อนหน้าที่จะไปศูนย์เลี้ยงเด็กกำพร้า เธอคิดมาตลอดว่า บรรยากาศที่นั่งจะต้องหดหู่ เด็กๆ จะต้องดูน่าสงสารแน่ๆ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่เลยค่ะ เด็กๆ ที่นั่นอยู่กันอย่างแฮปปี้สบายดี สุขภาพจิตก็ดี ทำให้เธอไม่ลังเลเลยที่จะรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
     
 
       และในวันหนึ่ง สองสามีภรรยาก็กลับมาที่ศูนย์เลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง...
   
      ไม่ใช่แค่แวะมาทักทายเจ้าหน้าที่ที่นี่ แต่ทั้งสองตั้งใจว่าอยากจะรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยงเพิ่ม! เป้าหมายจริงๆ คืออยากมีลูกสาว 2 คน ลูกชาย 2 คนค่ะ

 
   
       และเด็กชายผู้โชคดีคนนั้นคือ อีจีซอง วัย 13 ขวบ ที่เริ่มคุ้นเคยกับบ้านนี้แล้ว (สังเกตแววตาที่น้องสาวมองพี่ชาย เอ็นดู๊เอ็นดู) เพราะก่อนที่จะรับไปอยู่ด้วยแบบจริงจัง ทั้งตัวพ่อแม่บุญธรรมและว่าที่ลูกบุญธรรมจะต้องมีการพบเจอกันเรื่อยๆ ลองไปใช้ชีวิตด้วยกันก่อนสัปดาห์ละวันสองวันว่าเข้ากันได้ไหม

     
       แน่นอนว่าหลังจากเจอกันมาหลายครั้ง จีซองเข้ากับบ้านนี้ได้ดีมากกกกกกก แฮดซัลและอีซึลก็ตัวติดหนึบกับว่าที่พี่ชายคนนี้เลยค่ะ
     
       จีซองเล่าว่า เค้าอยู่ที่ศูนย์นี้ก็สุขสบายดี ดังนั้นตอนแรกๆ จึงไม่อยากถูกรับไปเลี้ยงเลย เพราะกลัวจะต้องจากเพื่อนๆ ไป แต่ลองคิดดีๆ ก็รู้สึกว่า การได้อยู่เป็นครอบครัวน่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่า

   
      วันนี้ทางครอบครัวได้ลองเข้ามาดูความเป็นอยู่ของจีซองที่ศูนย์เลี้ยงเด็กว่าอยู่ยังไง เป็นยังไงบ้าง พร้อมกับเปิดดูรูปอัลบั้มตอนเด็กของจีซอง ซึ่งแทบทุกรูปนั้นจีซองจะอยู่คนเดียว...


     
       ว่าที่แม่บุญธรรมถึงกับอดร้องไห้ไม่ได้เลยว่า พอเห็นรูปจีซองตอนเด็กๆ แล้วรู้สึกใจหายมากๆ อดคิดไม่ได้เลยว่า การที่เด็กคนนึงต้องเติบโตมาแบบตัวคนเดียวนั้น มันจะน่าเศร้าแค่ไหน ตอนร้องไห้ ใครจะเป็นคนมากอดปลอบ 

   
      จีซองเล่าว่า ตอนเด็กๆ เค้าร้องไห้บ่อยมากๆ จนเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์เลี้ยงเด็กถามว่า ทำไมร้องไห้บ่อยขนาดนี้? จนคนรอบข้างต้องสอนเขาว่า การร้องไห้น่ะมันไม่ใช่การแก้ปัญหาหรอกนะ ยิ่งร้องก็ยิ่งเสียใจ เค้าจึงเลิกร้องไห้และใช้ความอดทนรออย่างมีความหวังว่า วันหนึ่งแม่แท้ๆ จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย แต่วันนั้นก็ไม่เคยมาถึง
     

       วันนี้ก็เป็นอีกวันที่จีซองลองมาใช้ชีวิตอยู่กับว่าที่พ่อแม่บุญธรรม...

 
       เป็นช่วงหน้าร้อนพอดี ฝ่ายคุณพ่ออยากจะทำสระน้ำเล็กๆ ไว้ให้เด็กๆ เล่น จะทำคนเดียวคงไม่ไหวแน่ โชคดีที่ได้จีซองมาช่วยเล็กๆ น้อยๆ ยิ่งทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น

 
     จีซองเล่าว่า แรกๆ ที่ลองมาอยู่นั้น เค้ายังไม่ค่อยชินเท่าไร โดยเฉพาะการที่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่า พ่อ หรือ แม่ บางทีเค้ายังเผลอเรียกออกมาว่า ลุง อยู่เลย แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว และเขาเองก็ชอบที่จะช่วยเลี้ยงน้อง เพราะรู้ดีว่าพ่อแม่นั้นน่าจะเหนื่อยมากๆ จึงอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระนี้


   
      ฝ่ายสองสามีภรรยาก็เล่าว่า แต่ก่อนทั้งคู่เป็นพนักงานออฟฟิศ แต่พอตัดสินใจจะรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยง ฝ่ายหญิงต้องออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูก คนที่มีหน้าที่ทำงานหาเงินคือฝ่ายชายคนเดียว ซึ่งรายได้นั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่พอคนอื่นรู้ว่าพวกเขาเลี้ยงลูกบุญธรรม ก็มักถูกถามว่า โห รวยเหรอ ใช้เงินเท่าไรเนี่ย? ซึ่งพวกเขามองว่ามันมีค่ามากกว่านั้น เพราะการมีลูกแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลเด็กๆ 


 
      ทุกสุดสัปดาห์ที่จีซองมาลองใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวนี้ ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมจะปฏิบัติกับจีซองเสมือนเป็นลูกแท้ๆ เรียกว่าถ้าพาแฮดซัลกับอีซึลไปไหน ก็จะพาจีซองไปด้วยตลอด อย่างวันนี้ทั้งบ้านก็ลงไปที่ปูซานเพื่อไปเยี่ยมคุณตาและคุณยายค่ะ



     
       เป็นครั้งแรกที่จีซองได้พบกับคุณตาและคุณยาย แน่นอนล่ะว่าประหม่ามากกกกก ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไง แอบเข้าใจน้องเลยนะเนี่ยว่าการต้องเจอผู้ใหญ่ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ในครั้งแรกมันก็จะอึดอัดเบาๆ แหละเนาะ

   
      แต่อยู่ไปอยู่มาสักพัก บรรยากาศก็เริ่มดีขึ้นค่ะ ซึ่งคุณตาคุณยายต่างก็รู้สึกเคยชินกับบรรยากาศนี้มาแล้วตั้งแต่ตอนที่ได้แฮดซัลและอีซึลมาเป็นหลานนั่นเอง นั่นก็ทำให้จีซองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นและค่อยๆ หายกังวลใจ


 
 
      จีซองเล่าปิดท้ายว่า เขามีความฝันสองอย่าง ข้อแรกคือการมีครอบครัว อีกข้อคืออยากไปลองเล่น Sky Diving ซึ่งเขารู้สึกว่า ความฝันข้อแรกนั้นกำลังจะเป็นจริงแล้ว....


       
        ..... เพราะในทุกๆ สัปดาห์ จะมีวันหนึ่งที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่รักเขาจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่า อีกไม่นาน จีซองจะกลายเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านนี้อย่างสมบูรณ์แบบ



       ด้านล่างนี้เป็นคลิปตัวอย่างที่คนแชร์กันเยอะๆ ค่ะ ส่วนใครอยากดูเวอร์ชั่นเต็มๆ คลิกที่นี่ ได้เลย

พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

dar 17 ต.ค. 60 09:15 น. 5

เข้าใจความรู้สึกของจีซองเลยอะเพราะนี้ก็เป็นการที่เค้าไม่ใช้พ่อแม่ที่แท้จริงแต่เลี้ยงเรามาทั้งอบรม สั่งสอน ไม่เคยทำให้เราขาดเลย เหมือนต่างคนต่างมาเติมเต็มให้กันเเละกัน แม่จะพูดเสมอว่าอย่าคิดว่าเราไม่ใช่ลูกของแม่นะให้คิดซะว่าแม่ฝากเราไว้ในท้องคนอื่น แล้วสุดท้ายแม่ก็ได้เรากลับมา ตัวเองก็เพิ่งมารู้ตอนอายุ24 พอรู้แล้วไม่เศร้าไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ ไม่รู้สึกว่าเราต้องตามหาแม่แท้ๆเลย เพราะกว่าที่เราจะโตมาได้ขนาดนี้เขาต้องเสียสละหลายอย่างเลย ในชีวิต ณ ปัจจุบันก็ยังเป็นครอบครัวที่รักและอบอุ่นเสมอ

0
กำลังโหลด

6 ความคิดเห็น

prwo3x Member 26 ก.ย. 60 21:46 น. 1

โอ๊ยจะร้องไห้ตามน้อง เปิดคลิปที่แนบมาถึงจะฟังไม่ออกแต่แค่แววตากับน้ำเสียงก็ทำเอาสั่นตามแล้วค่ะT_T

ดีใจที่น้องได้ครอบครัวดีๆแบบนี้รับไปเลี้ยง

0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
pksun Member 3 ต.ค. 60 18:42 น. 3

ถึงจะฟังไม่เข้าใจแต่ดูจากสีหน้าและแวตาของแม่บุญธรรมและจีซองทำให้น้ำตาไหลได้เลย ดีใจกับเด็กๆๆด้วยที่ได้ครอบครัวที่ดูมีจิตใจที่ดีมาก

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
dar 17 ต.ค. 60 09:15 น. 5

เข้าใจความรู้สึกของจีซองเลยอะเพราะนี้ก็เป็นการที่เค้าไม่ใช้พ่อแม่ที่แท้จริงแต่เลี้ยงเรามาทั้งอบรม สั่งสอน ไม่เคยทำให้เราขาดเลย เหมือนต่างคนต่างมาเติมเต็มให้กันเเละกัน แม่จะพูดเสมอว่าอย่าคิดว่าเราไม่ใช่ลูกของแม่นะให้คิดซะว่าแม่ฝากเราไว้ในท้องคนอื่น แล้วสุดท้ายแม่ก็ได้เรากลับมา ตัวเองก็เพิ่งมารู้ตอนอายุ24 พอรู้แล้วไม่เศร้าไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ ไม่รู้สึกว่าเราต้องตามหาแม่แท้ๆเลย เพราะกว่าที่เราจะโตมาได้ขนาดนี้เขาต้องเสียสละหลายอย่างเลย ในชีวิต ณ ปัจจุบันก็ยังเป็นครอบครัวที่รักและอบอุ่นเสมอ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด