ยิ่งกว่าคัดนางงาม! ประสบการณ์อาสาสมัคร World Expo ณ อิตาลี งานใหญ่ระดับโลก

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com น้องๆ น่าจะเคยได้ยินชื่องาน World Expo ซึ่งถือเป็นนิทรรศการใหญ่ระดับโลกจริงๆ มาบ้างแล้ว แต่ละประเทศก็จะไปนำเสนอศิลปวัฒนธรรมและผลงานต่างๆ ของประเทศให้โลกได้รู้จัก ไทยเองก็ไปแสดงผลงานเช่นกันค่ะ และปกติแล้วเมื่อไหร่ที่มีงานแบบนี้ เยาวชนหลายๆ คนก็อยากจะไปเป็นส่วนหนึ่งในคณะทำงานเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทย ซึ่งการจะได้รับเลือกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

     วันนี้ พี่พิซซ่า เลยจะพาน้องๆ ไปรู้จักกับ "พี่แอร์" หทัยรัตน์  อุดมลาภธรรม หนึ่งในตัวแทนอาสาสมัครของไทยที่ได้ไปทำงานใน Expo 2015 ที่ประเทศอิตาลีค่ะ พี่แอร์จะมาเล่าให้ฟังตั้งแต่การสมัครไปจนถึงการทำงานจริงที่ World Expo และประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้กลับมาค่ะ น้องๆ คนไหนที่สนใจจะไปเป็นทูตวัฒนธรรมแบบนี้บ้างในงาน Expo 2020 จะได้เตรียมตัวได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ



เพราะชอบเรียนภาษา ก็เลยอยากเห็นมุมมองด้านวิถีชีวิตของชาวต่างชาติ


     โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบเรียนภาษามาก อันนี้ต้องขอบคุณคุณครูตั้งแต่สมัยประถมจริงๆ ตอนนั้นเรียนอยู่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ คุณครูทำให้เรารู้สึกว่าการเรียนภาษาเป็นเรื่องสนุก เราไม่จำเป็นต้องเรียนแต่แกรมมาร์ แต่เราเรียนผ่านเพลง ผ่านเกม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราซึมซับภาษาโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่โชคดีของพี่คือรู้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าเป็นคนชอบเรียนภาษา ฉะนั้นเราจึงมุ่งมั่นสู่สายภาษามาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเรียนภาษาอังกฤษซึ่งเป็นหลักสูตรบังคับของทุกโรงเรียนอยู่แล้ว

     พอได้เข้าเตรียมอุดมก็ลองฉีกแนวไปเรียนภาษาเยอรมัน เข้าจุฬาก็เรียนภาษาจีน และเลือกวิชาเสริมเป็นภาษาญี่ปุ่น กับเกาหลี ซึ่งการเรียนภาษาต่างๆ ในโลกทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองทางด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมและความรู้สึกนึกคิดของคนชาตินั้นๆ ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ๆ จากต่างชาติต่างภาษา และทำให้เราเข้าใจมนุษย์มากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้แหละคือความสนุกที่เราได้รับจากการรู้ภาษาต่างๆ มากมาย

     มีคนเคยถามว่าไม่เคยไปเรียนทางตะวันตกเลยทำไมพูดภาษาอังกฤษเก่งจัง สำเนียงดี อยากจะบอกเลยว่าเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่อาจจะเพราะงานอดิเรกเกื้อหนุนกันก็ได้ ส่วนตัวเป็นคนชอบดูซีรีส์มาก ก็จะดูซีรีส์ฝรั่งบ่อยๆ นอกจากนี้ยังเป็นคนชอบอ่านการ์ตูน ดูอนิเมะ เราก็ดูเป็นภาคภาษาญี่ปุ่นแล้วอ่านซับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราค่อยๆซึมซับสำเนียงและได้คำศัพท์ใหม่ๆ ไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังได้รับรู้วัฒนธรรมและความคิดของคนแต่ละชาติผ่านซีรีส์และการ์ตูนด้วย



ความสนใจด้านวัฒนธรรมต่างประเทศทำให้รู้จักงาน World Expo


     พี่เพิ่งมารู้จักงาน World Expo จริงๆ ตอนรอบที่งานนี้จัดที่เซี่ยงไฮ้ปี 2010 ตอนนั้นเรียนภาษาจีนอยู่ที่อักษรศาสตร์ จุฬาฯ  พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจีนก็ทำให้เราเสพสื่อ เสพข่าวสารพวกนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ได้รู้ว่ามันเป็นงานยิ่งใหญ่อลังการดาวล้านดวงที่ทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจและมีผู้คนจากต่างประเทศยอมบินมาเข้าร่วมงานนี้ทุกครั้ง เพราะงาน World Expo จะจัดขึ้นทุกๆ 5 ปี และจะเวียนไปจัดตามประเทศต่างๆ เป็นงานที่ประเทศต่างๆ ให้ความสนใจอย่างล้นหลามเพราะเป็นงานเดียวที่ประเทศนั้นๆ จะได้ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าประเทศฉันมีดีอย่างไร

     โดยในแต่ละปีธีมงานจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นปีที่พี่แอร์ได้ไปทำงานจะเป็นธีมเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งเข้าทางประเทศไทยมากเพราะเราอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ในน้ำมีปลาในนามีข้าว แต่อนิจจา World Expo เป็นงานที่คนไทยรู้จักน้อยมาก พอคนไทยส่วนใหญ่ได้ยินคำว่า Expo จะถามว่างานนี้ขายอะไรหรือ คือคิดไปถึงงาน Expo เมืองทองธานีอะไรแบบนั้น

     ส่วนตอนที่รู้ข่าวว่างาน World Expo จะจัดที่มิลานนั้น พี่แอร์เพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากปักกิ่งมาสดๆ ร้อนๆ กลับมาบ้านทำงานเป็นฟรีแลนซ์อยู่สักพัก แล้วเห็นข่าวประกาศในเฟซบุ๊กกลุ่มอักษรจุฬาว่าตอนนี้มีรับสมัคร Thailand Ambassador หรือพูดง่ายๆ ก็เหมือนทูตวัฒนธรรมจำนวน 32 คนไปทำงานที่พาวิลเลี่ยนไทย ซึ่งตอนที่ประกาศรับสมัครคนเขาต้องการคนที่พูดภาษาอังกฤษ และอิตาเลียนได้ แต่ก็มีคนบอกว่าเขาต้องการคนที่พูดจีนได้ 2 คนจากใน 32 คนที่รับสมัครเพราะคาดว่าจะมีคนจีนให้ความสนใจไปดูงานครั้งนี้เยอะมาก ภาษาจีนก็น่าจะจำเป็นอยู่ เราเลยลองร่อนใบสมัครไป

     ถ้าถามว่ากังวลมั้ย เอาจริงๆ ตอนนั้นไม่ได้กังวลเลยว่าต้องไปนานๆ เพราะไปอยู่ปักกิ่งมา 2 ปี  รู้สึกสนุกกับการอยู่ที่ต่างประเทศ เพราะเรามีอิสระ ได้เพื่อนใหม่มากมาย และได้รู้จักการอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพาพ่อแม่ ทำให้รู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ส่วนถ้าถามว่ากลัวมั้ยว่าจะกระทบการหางานที่ไทยหรือเปล่า ขอตอบเลยว่าไม่เลยค่ะ โอกาสมาก็คว้าไว้ งานทุกอย่างคือประสบการณ์ค่ะ และงานแบบนี้หายากมากๆ โอกาส 5 ปีมีครั้ง ถ้าพลาดไปก็เสียดาย และพอมองย้อนกลับมาก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจทำงานนี้



จะเป็นตัวแทนประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย คัดกันยิ่งกว่าหาเซอร์ไวเวิลอีก


     ในการคัดเลือก ก็จะมีหลายรอบราวกับเข้าบ้านเอเอฟเลยทีเดียว เริ่มจากส่งใบสมัครก่อนเลย โดยในใบสมัครก็จะมีคำถามคัดกรองคนที่มาสมัครระดับหนึ่ง ทางคณะกรรมการก็จะคัดใบสมัครหลายพันใบเหลือแค่ 300 คน ผู้ที่ผ่านรอบใบสมัครก็จะได้ทำ attitude test เช่น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้หรือไม่ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า หรือรับมือสถานการณ์ที่ยากและกดดันได้หรือไม่ เมื่อผ่านขั้นตอนเหล่านี้เขาถึงจะเชิญให้ไปสอบสัมภาษณ์ด้านภาษา ซึ่งตอนนั้นเรากรอกไปว่าพูดภาษาต่างประเทศได้ 2 ภาษาคืออังกฤษกับจีน สองภาษานี้คือภาษาที่เรามั่นใจมากๆว่าพูดได้คล่อง จุดนี้อยากจะบอกกับน้องๆทุกคนว่า เวลากรอกใบสมัครใดๆ ก็ตาม ควรเขียนข้อมูลจริงเท่านั้น เช่นในตอนกรอกใบสมัครงานนี้ ในใบสมัครระบุว่าถ้าตอบเป็นภาษาอิตาเลียนได้ก็เขียนภาษาอิตาเลียน และสามารถพูดภาษาไหนได้ และทักษะภาษาอยู่ในระดับใดก็กรอกไปตามนั้น

     ซึ่งบางคนกรอกไม่ตรงตามความจริง เช่นเขียนว่าพูดภาษาจีนได้คล่องมาก แต่พอต้องเข้าห้องดำไปสัมภาษณ์จริงตรงนั้นจะรู้เลยว่าเราพูดได้หรือไม่ได้ เพราะเขาเอาคนจีนที่เป็นเจ้าของภาษามาสัมภาษณ์เรา และถามในคำถามเชิงเจาะลึก เช่นตอนนั้นได้คำถามว่าประเทศไทยมีวันสำคัญใดบ้าง และเป็นอย่างไร จงอธิบายความสำคัญ ซึ่งพวกนี้เป็นศัพท์เฉพาะ ถ้าคนเรียนมาไม่รู้ลึกรู้จริงก็จะตอบไม่ได้ ก็จะไม่ได้ไปต่อ  กรรมการจะคัดออกเลย แต่ถ้าสอบผ่านก็จะได้ไปต่อห้องสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ซึ่งก็จะมีทั้งคำถามให้อธิบายเกี่ยวกับวัฒนธรรมและคำถามกดดันต่างๆ



     ถ้าผ่านตรงนี้แล้วจึงจะได้ไปเจอกับคณะกรรมการที่สัมภาษณ์เราเป็นภาษาไทย แต่ใครที่คิดว่าสัมภาษณ์ภาษาไทยง่ายสุดก็อย่าชะล่าใจ เพราะเราจะเจอคณะกรรมการหลายๆ ท่านยิงคำถามกดดัน ทดสอบไหวพริบเชาว์ปัญญาต่างๆ ซึ่งตรงนี้อยากให้น้องๆ ทุกคนตั้งสติ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ยิ้มสู้เข้าไว้ ทำเป็นใจดีสู้เสือ อย่าให้เขาจับได้ว่าเราประหม่า แต่ก็เป็นตัวของตัวเองด้วย จะเห็นได้ว่าการทดสอบเหล่านี้ไม่ได้คัดเลือกคนที่ภาษาเก่งที่สุดเท่านั้น แต่ยังทดสอบไหวพริบปฏิภาณในการตอบคำถามต่างๆ การรับมือความกดดัน และความรู้รอบตัวเรา

      บางคนภาษาอังกฤษดีมาก เรียนอินเตอร์มาตลอดชีวิตแต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยเลยก็ไม่ได้ไปต่อ พูดแบบไม่โลกสวยนะคะ ภาษานั้นต้องใช้บุญเก่าล้วนๆ ค่ะ สะสมมาเท่าไรก็ได้เท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่าให้ท้อนะคะ การเรียนภาษาก็เหมือนกินข้าวค่ะ จะให้อิ่มไม่สามารถสูบเข้าไปได้ทีเดียวหมด แต่ต้องกินทีละคำๆ เกิดจากการสะสมเรื่อยๆ ทุกคนสามารถเก่งภาษาได้โดยเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้ค่ะ

     ยังค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าการคัดเลือกจะหมดลงเท่านี้นะคะ ต่อจากคัดเลือกตามข้างต้นเสร็จ เขาก็จะให้เราอบรมเป็นระยะเวลา 1 เดือน เช่น การรับมือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ด้านบุคลิกภาพไปจนถึงการแต่งหน้าแต่งตัวกันเลยทีเดียว นี่นึกว่าเก็บตัวนางงาม จากนั้นก็จะไปเข้าค่ายฝึกอบรม และมีการฝึกปฏิบัติจริงที่งานจำลองนิทรรศการ World Expo ซึ่งไปจัดที่เซ็นทรัลลาดพร้าวเป็นเวลา 3 วันเพื่อดูว่าเราพอจะมีแววไปต่อหรือไม่ ระหว่างนี้กรรมการจะคอยจับตาดูเราและให้คะแนนตลอดเวลา ยังค่ะ ยังไม่จบเพียงเท่านั้นต่อจากนั้นก็ต้องไปลองฝึกปฏิบัติจริงอีกที่นิทรรศรัตนโกสินทร์ หลังจากผ่านแบบทดสอบเหล่านี้แล้วเขาจึงจะพิจารณาว่าให้ไปต่อหรือไม่ สิริรวมหลังจากที่ร่อนใบสมัครไปจนถึงวันรู้ผลก็เป็นระยะเวลา 7-8 เดือนค่ะ ต้องอาศัยใจและความอดทนมาก เพราะเราไม่รู้ว่าที่เสียเวลาไปทั้งหมดเราจะได้ไปจริงๆ มั้ย แต่การกดดันลักษณะนี้ก็เป็นข้อดีคือ เป็นแรงผลักดันให้เราทำทุกๆกิจกรรมอย่างดีที่สุดค่ะ



คัดกันขนาดนี้ เอาไปทำงานอะไรบ้างเนี่ย


     น้องๆ คงอยากรู้แล้วว่างานนี้ไปทำอะไรใช่มั้ยคะ จริงๆ แล้วก็คือทำทุกอย่างค่ะ แต่หลักๆ คือไปประจำพาวิลเลี่ยนตามจุดต่างๆ ซึ่งแต่ละจุดก็จะมีหน้าที่ต่างกันออกไป เช่นคนที่ยืนตำแหน่งข้างนอกต้องเป็นคนตอบคำถามผู้เข้าชมงาน คล้ายๆ ประชาสัมพันธ์ค่ะ เช่นข้างในพาวิลเลี่ยนเรามีอะไร ขณะนี้รอกี่นาที กิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจวันนี้ ส่วนคนที่ทำตำแหน่งประจำห้องภายในพาวิลเลี่ยนต่างๆ ก็ต้องเป็นคนกล่าวต้อนรับแขกผู้มาชมงาน คอยอำนวยความสะดวกและให้ความรู้ต่างๆ แก่ผู้เข้าชมงานค่ะ

     แล้วก็จะมีหน้าที่พิเศษเพิ่มแล้วแต่กิจกรรมในแต่ละวัน เช่นเรามีการจัดงานสงกรานต์ งานวันแม่ ก็จะต้องมาช่วยกันทำดอกมะลิ อย่างพี่แอร์มีความสามารถพิเศษคือแกะสลักได้ก็จะมีงานแกะสลักผักผลไม้ สบู่ โปรโมทพาวิลเลี่ยนไทยค่ะ หรืออย่างบางคนสามารถเล่นดนตรีไทยได้ก็จะเล่นดนตรี หรือเป็นพิธีกรในงานสำคัญต่างๆ ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อเลยเพราะงานมีความท้าทายใหม่ๆ ตลอดเวลา



ชีวิตความเป็นอยู่ตอนไปทำงานจริงที่ Expo 2015


     แน่นอนว่าไปทำงานก็ต้องมีค่าตอบแทน ซึ่งเค้าให้เป็นเงินเดือนและมีค่าเบี้ยเลี้ยงให้ในแต่ละวันแยกต่างหาก เพราะค่าครองชีพในมิลานสูงมาก ถ้าเงินเดือนอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ แนะนำให้ทำกับข้าวทานเองจะถูกกว่าซื้อข้างนอกมาก และยิ่งทำกินร่วมกันกับเพื่อนหลายๆคนนอกจากจะประหยัด ยังอิ่ม อร่อย และสนุกสนานเพราะได้ทำอาหารร่วมกัน ใช้เวลาร่วมกันด้วย ซึ่งที่พักเขาจัดหาให้ก็ดีมาก มีเตาและตู้เย็นครบครัน และเป็นอพาร์ทเมนท์ใหม่ ซึ่งคาดว่าเจ้าของน่าจะสร้างขึ้นเพื่องาน World expo โดยเฉพาะ เพราะห่างที่จัดงานไม่ไกล  เรื่องเสื้อผ้าสำหรับใส่ปฏิบัติงานก็มีให้พร้อม เรียกได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมีให้ครบครัน และมีพี่ๆ ทีมงานคอยดูแลยามทุกคนป่วยไข้ค่ะ


ความทรงจำที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว


     ประสบการณ์ที่ไปอยู่ที่อิตาลีก็จะมีทั้งโหด มัน ฮา ที่จริงมีความประทับใจหลายๆ อย่างอยากเล่าเยอะแยะเลยขอยกมาสักสองสามเคสละกันค่ะ

     อย่างอันที่เรารู้สึกว่าตลกมากๆ คือ การต่อคิวเข้าชมพาวิลเลี่ยนจะใช้เวลานานมาก บางครั้งต้องรอถึงสามชั่วโมง แล้วการจัดงานครั้งนี้กินระยะเวลา 6 เดือน นั่นหมายถึงครอบคลุมฤดูร้อนด้วย แต่ฤดูร้อนที่อิตาลีจะต่างกับไทยคือ แดดแผดเผาเหมือนกันแต่เขาร้อน แห้งๆเหมือนอยู่ในเตาอบ ถ้าเปรียบเมืองไทยก็จะร้อนชื้นเหมือนอยู่ในซึ้ง คราวนี้พอทุกคนต้องยืนเข้าคิวตากแดดร้อนกันมากๆ ก็จะมีคนเป็นลมเยอะมาก เฉลี่ยคือมีแทบทุกวันเลยในช่วงฤดูร้อน ก็จะมีคนอิตาลีหัวใสที่อยากจะเข้าไปในพาวิลเลี่ยนเร็วๆ จะแกล้งเป็นลมเพื่อหลบร้อนแล้วลัดคิวเข้าพาวิลเลี่ยนเร็วๆ แต่หลังๆ เรารู้ทันก็จะเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยให้โทรเรียกรถพยาบาลให้ ซึ่งคนที่แกล้งเป็นลมก็จะตกใจมาก บอกไม่ต้องๆ นี่ถ้าให้เข้าไปเลยจะหายเป็นลมเลยนะ เราก็ขำ แต่บอกว่าไม่ได้นะคะ ทุกคนต่อคิวมาเหมือนกัน ต้องทนค่ะ คือคนอิตาลีจริงๆ แล้วเหมือนคนไทยมาก คือสไตล์ตลก ขี้เล่น เป็นกันเอง เลยไม่ค่อยมีความต่างของวัฒนธรรมมากนัก



     แต่ถ้าจะมีเรื่องของความต่างทางวัฒนธรรมอาจจะเป็นที่ระบอบการปกครองก็ได้  ซึ่งบางคนก็รับได้บางคนก็รับไม่ได้ เช่น ในนิทรรศการจัดงานครั้งนี้ มีห้องหนึ่งเป็นห้องฉายสารคดีสั้นกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประมาณ 4 นาที ซึ่งมีคนอิตาลีบางคนที่รับไม่ได้ รีบวิ่งออกมาจากห้องแล้วบอกว่า นี่มันแย่มาก เธอกำลังล้างสมองฉัน แล้ววิ่งออกไปจากพาวิลเลี่ยนเลยก็มี สิ่งที่เราทำได้คือการพยายามอธิบาย บางคนพอดูเสร็จก็จะสงสัยว่า กษัตริย์ของเธอทำอะไรตั้งมากมายเพื่อประชาชนขนาดนี้เลยหรือ ทำไมท่านทรงทำเช่นนั้น

     ซึ่งพอมาคิดดูแล้วการที่เขาจะสงสัยและไม่ยอมรับนั้นไม่ถือเป็นเรื่องแปลกเลย เพราะถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ยุโรปจะพบว่ากษัตริย์ผู้ครองเมืองต่างๆ ในอดีตมักจะตั้งตนเป็นใหญ่ รีดนาทาเร้น ขูดรีดราษฎรเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ฉะนั้นคำว่ากษัตริย์ของใครหลายๆ คนในยุโรปอาจจะติดภาพลักษณ์เชิงลบ และการจะทำให้คนเหล่านี้เข้าใจภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 นาทีและมาซาบซึ้งแบบคนไทยที่เราได้เห็น ได้สัมผัสมาทั้งชีวิตนั้นอาจจะยากเกินไป แต่ก็มีชาวอิตาลีหลายคนที่ถึงกับเดินมาบอกเราเลยว่า เขาอิจฉามากที่เรามีกษัตริย์ที่ทรงทำเพื่อประชาชนถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากเกิดที่เมืองไทย พอฟังเสร็จถึงกับขนลุก เราตื้นตันและดีใจที่เขาสัมผัสถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ และรักในหลวงรัชกาลที่ 9 เหมือนเรา



     สุดท้ายนี้อยากจะบอกน้องๆ ว่า ที่ไปจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อเงินเลย เงินเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์และความภูมิใจที่เราได้เป็นหนึ่งในตัวแทนคนไทยทั้งประเทศที่มีส่วนช่วยให้ชาวโลกรู้จักเมืองไทยในแง่ดี ไม่ใช่เมืองโสเภณีหรือเมืองอาชญกรรม มันเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้ทำเพื่อชาติ  ขอให้เราภูมิใจเถิดว่าเราเกิดในประเทศไทย ขอให้น้องๆ อย่าลืมที่จะตอบแทนบุญคุณประเทศ ที่จริงการเป็นคนดี รับผิดชอบตนเอง ไม่เบียดเบียนตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติก็ถือเป็นการตอบแทนแล้ว แต่ถ้าน้องๆ คนไหนสนใจจะไปเป็นตัวแทนประเทศไทยแบบพี่ก็อย่าลืมติดตามข่าวสารทางเฟซบุ๊ก งานครั้งถัดไปจะมีขึ้นในปี 2020 ที่ดูไบ ขอบอกเลยว่างานนี้น่าไปมากๆ เพราะดูไบทุ่มทุนสร้างมหาศาล เตรียมการตั้งแต่งาน World expo ปี 2015 ถ้าพลาดต้องเสียใจแน่ๆ ค่ะ


   
     อ่านแล้วก็รู้สึกอยากไปร่วมงานมากๆ เลยค่ะ รู้สึกว่ามีอะไรให้ค้นหาเยอะมาก ถึงจะใช้เวลาหลายเดือนแต่ก็คุ้มค่ามากจริงๆ สำหรับใครที่สนใจอยากไปเป็นทูตวัฒนธรรมตัวแทนประเทศไทยในงาน Expo 2020 ก็ฟิตภาษาต่างประเทศพร้อมความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยรอไว้ได้เลยนะคะ
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด