"ถ้าทำงานที่ชอบ จะไม่รู้สึกว่าต้องทำงาน" พี่โยพาเที่ยว หัวหน้าทัวร์สุดฮอตบนโลกทวิตเตอร์

      สวัสดีค่ะน้อง ๆ ชาว Dek-D.com เชื่อว่าหลายๆ คนที่เล่นทวิตเตอร์คงเคยเห็น แอคเคานท์ที่ใช้ชื่อว่า ‘พี่โยพาเที่ยว’ ผ่านตากันมาบ้างแล้วแน่ๆ โดยเจ้าของทวิตนี้มักทวีตรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวและสายการบินต่างๆ เห็นแล้วต้องร้องว้าววววววกันแน่นอน 




      เห็นเดินทางบ่อยขนาดนี้ เดาได้ไม่ยากว่า พี่โย เค้าเป็นหัวหน้าทัวร์แน่นอน! น้องๆ คิดเหมือนกันหรือเปล่าคะว่า พี่โยต้องได้ไปเที่ยวหลายประเทศแน่ๆ  น่าอิจฉาสุดๆ ไปเลย วันนี้ พี่ดังกิ้น และ พี่กี้ จะพาน้องๆ มารู้จักกับอาชีพหัวหน้าทัวร์ให้มากขึ้น ผ่านการบอกเล่าประสบการณ์ของพี่โยกันค่ะ


กฤตภาส อินทร์ภักดี (พี่โย)
CEO & Founder บริษัท Yosotravel

 

หัวหน้าทัวร์  ไกด์


      ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าหัวหน้าทัวร์และไกด์ว่า อาชีพของพี่โยไม่ได้เรียกว่าไกด์ แต่เรียกว่าหัวหน้าทัวร์ บางทีหลายคนอาจจะสับสนหรือสงสัยว่าระหว่างไกด์กับหัวหน้าทัวร์นี่ต่างกันยังไง? โดยภาพรวมแล้ว อาจจะเหมือนคนที่ทำหน้าที่พาเที่ยวเหมือนกัน แต่หัวหน้าทัวร์คือคนที่มีหน้าที่ดูแลกรุ๊ป ดูแลลูกค้า แล้วพาไปเจอไกด์ที่ปลายทาง สรุปง่ายๆ เลยก็คือ ไกด์จะอยู่กับที่ไม่ไปไหน แต่หัวหน้าทัวร์จะพาลูกทัวร์ไปในหลายประเทศ เพื่อไปเจอกับไกด์อีกที


               

เส้นทางชีวิตก่อนจะมาเป็นหัวหน้าทัวร์ 


      ก่อนหน้าที่พี่โยจะเริ่มทำงาน ตอนสมัยเรียนได้มีโอกาสฝึกงานอยู่กับบริษัททัวร์ เป็นผู้ช่วยไกด์ในประเทศ หลังจากเริ่มทำงานแล้ว ก็มาทำงานทางด้านออแกร์ไนเซอร์ ลุยงานด้านการเปิดตัวภาพยนตร์ หลังจากนั้นก็มาทำงานอยู่ในบริษัทอีเวนต์เอเจนซี่  รับผิดชอบพาศิลปินไปเล่นคอนเสิร์ตในมหาวิทยาลัยในงานต่างๆ เช่น งานรับน้อง งาน First Date

      เวลาผ่านไป พี่โยกระโดดก้าวขึ้นมาเป็น Project Manager ในบริษัทเอเจนซี่แห่งหนึ่ง งานนี้ต้องเป็นคนดูแลภาพรวมของอีเวนต์ที่จัดทั้งหมด มันท้าทายและกดดันมาก ได้ประสบการณ์ที่หายากและได้ฝึกความอดทนด้วย แต่มันก็มีสิ่งที่ไม่ชอบอยู่  คือไม่มีเวลาให้ครอบครัว เพราะพี่โยต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศบ่อย แต่การไปต่างประเทศนั้นทำให้เจอผู้คนหลากหลาย เรารู้ว่าเราชอบอะไร เรารู้ว่าเราชอบที่จะพูดความจริง อยู่บนโลกของความจริง  และเวลาเราอยู่ต่างประเทศแล้วมีคนให้เราพาไปเที่ยว ทำให้เรารู้ว่าสึกว่า เฮ้ย! นี่คือสิ่งที่เราชอบ เราได้อธิบายให้เขาเห็นเรื่องวัฒนธรรม บ้านเมือง ความเป็นอยู่ของผู้คน พอเรามองเห็นเขาเข้าใจ แล้วเราก็มีความสุข


 

เมื่อเจอสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว ก็มาถึงการตัดสินใจที่สำคัญที่สุด


      วันหนึ่งมีอาจารย์ที่สนิทที่รู้จักกันที่โบสถ์พูดกับพี่โยว่า “ถ้าเราทำงานในแบบที่เราชอบ เราจะไม่รู้สึกเลยว่าเราต้องทำงานสักวัน” เรารู้สึกแบบ เฮ้ย!  จึ๊กมากก เขาพูดคำเดียวออกมา เราโล่งเลย

      พอวันต่อมา พี่โยเดินไปขอลาออกกับเจ้านาย บอกเหตุผลออกไปว่า “ทนไม่ไหวแล้ว ไม่ชอบ” พอบอกคำนี้ปุ๊บ เจ้านายตอบออกมาว่า ถ้าหากเป็นเหตุผลอื่นเขาคงจะรั้งให้อยู่ แต่เป็นเหตุผลนี้เขาคงรั้งไม่ได้

      พี่โยตัดสินใจออกมาเปิดบริษัทเล็กๆ ที่ใต้โบสถ์ มีโต๊ะหนึ่งตัว คอมพิวเตอร์สองตัว พรินเตอร์หนึ่งตัว สมาชิกในบริษัทมีแค่พี่โย+ลูกน้องอีกสองคน เจ้านายเก่าพี่โยก็มาเป็นลูกค้าพี่โย ช่วยสนับสนุน ทั้งๆ ที่เขาสามารถซื้อตั๋วที่อื่นได้ แต่เขาไม่ซื้อ เพราะเขารู้ว่าเรากำลังเริ่มต้นใหม่ อยากจะให้เรามีงาน ข้อนี้ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ที่พี่โยได้เรียนรู้ว่า ถ้าเราจะเริ่มต้นใหม่ เราควรบอกให้ทุกคนทราบตรงๆ ไปเลย ยังไงทำงานไปอีก 4-5 ปี คุณก็กลับมาเจอกันแน่ ถ้าเราลาจากกันด้วยดียังไงมันดีกว่าแน่นอน


 

YosoTravel เรียบง่าย แต่สื่อความหมายได้ทั้งหมด


      คำว่า "โยโซ" เป็นคำที่เพื่อนๆ ใช้เรียกพี่โย เวลาเราไปไหนมาไหน พี่โยมักชอบคิดแบบแปลกๆ เพื่อนก็แบบ เฮ้ย ทำไมชอบใช้ส่วนลด โปรโมชั่น ทำไมชอบมาเส้นทางลัด  ทุกคนจะพูดว่า แบบนี้โซโยเลยว่ะ พี่โยจึงรู้สึกว่าชื่อนี้มันง่ายแล้วก็ตรงตัวเพราะเป็นชื่อเรา แถมยังใช้ในความหมายของ Yo Society ซึ่งเหมือนมาจากว่า การเที่ยวในลักษณะสังคมแบบเรา


 

แค่ชอบเที่ยว ไม่เพียงพอสำหรับคนอยากทำงานด้านนี้


      สำหรับน้องๆ ที่อยากทำงานด้านนี้ อย่างแรก พี่โยอยากจะให้กลับไปนั่งทบทวนก่อนว่า อยากทำงานเป็นไกด์หรือหัวหน้าทัวร์เพราะอะไร ถ้าตอบว่าเพราะอยากไปเที่ยว คือผิด!  ถ้าเกิดบอกว่าอยากทำงานด้านนี้เพราะอยากเที่ยว มันไม่ใช่เลย เวลาที่จะได้ไปมันจะยิ่งทรมานมากกว่า เพราะน้องจะได้ไปทุกที่ แต่ว่าน้องจะไม่ได้เที่ยว น้องจะได้ไปเห็น แต่ไม่มีเวลาส่วนตัวเลย เหมือนกับน้องได้ไปเที่ยวที่ห้าง แต่ไปเดินๆๆ เดินวน แล้วก็วนอยู่ห้างเดิมสิบรอบยี่สิบรอบ แต่ไม่ได้ออกไปดูของ มันจะยิ่งรู้สึกไม่แฮปปี้มากกว่า

      สำหรับคนที่อยากทำงานด้านนี้ ควรจะมีความรู้สึกว่า อยากพาคนอื่นไปเที่ยว มีความสุขที่ได้พาคนอื่นไปเที่ยว มีความสุขที่ได้ดูแลคนอื่น  ความรู้สึกเหล่านี้ต้องมาก่อน แล้วก็ตามมาด้วยความอดทน  ไม่ใช่อดทนเฉยๆ แต่ต้องอดทนมาก เพราะเราต้องดูแลลูกทัวร์ตลอด นับลูกทัวร์อยู่ครบไหม เราต้องเป็นคนจำหน้าลูกทัวร์ เราต้องรู้นิสัยเขาว่าคนนี้เขาจะไปอยู่แถวไหน ชื่อนามสกุลต้องจำได้ อยู่กันกี่วันกี่คืน คนนี้ชอบอะไรไม่ชอบอะไร กินอะไรไม่กินอะไร เจ็บป่วยเป็นยังไงบ้าง ต่างๆ นานา

      มากกว่านั้น การเป็นหัวหน้าทัวร์นั้นต้องทำหน้าที่ล่ามด้วย ต้องเก่งภาษาเพื่อแปลข้อมูลต่างๆ เพราะว่าลูกทัวร์บางคนเค้าก็ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ หัวหน้าทัวร์ต้องรู้จักหาความรู้เพิ่มเติม พวกสภาพภูมิอากาศ นิสัยใจคอของคนในท้องถิ่นเป็นยังไง กินอยู่ยังไง ข้างทางอันนั้นคืออะไร รถคันนี้ราคาเท่าไหร่ นี่คือสิ่งรอบตัวที่เราต้องรู้ รวมถึงข่าวการเมือง เศรษฐกิจ แล้วรวมถึงข่าวพวกก่อการร้ายอะไรต่างๆ นานา ต้องมีอยู่ในหัวตลอดเวลา เพื่อใช้บอกลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้า แต่ถ้าลูกค้าถามแล้วเราไม่รู้ ก็บอกไปเลยอันนี้ยังไม่รู้นะ เดี๋ยวกลับไปอ่านมา แล้วพรุ่งนี้มาบอก อย่าให้เขาจำผิดๆ ไป

      นอกจากนี้แล้ว ในการทำงานจริงๆ ต้องรู้จักวิธีการเอาชนะใจลูกค้า เรามีเวลาแค่ 1 หรือ 2 วันแรกเท่านั้นที่จะชนะใจเขา ถ้าเราชนะใจเขาไม่ได้ การเที่ยวทั้งหมดที่เหลือจะไม่สนุกเลย มันจะกลายเป็นว่าเราจะต้องบังคับเขา แต่ถ้าเราเอาชนะใจเขาได้ เขาจะรู้สึกว่า เฮ้ย เรากำลังเป็นคนที่พาเขาเที่ยว แล้วเขาจะอยากร่วมมือกับเรา หลังจากนั้น เราจะคุยอะไรก็ได้หมด 


 

ภาษากับอาชีพทัวร์ สำคัญแค่ไหน?


      ในมุมมองส่วนตัว พี่โยคิดว่า ควรได้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษในระดับเดียวกัน  ดังนั้นคนที่ทำงานด้านนี้ เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ตอนสมัยพี่โยเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมาก คือทำข้อสอบได้ ตอบได้ แต่พออาจารย์มาถาม ไม่กล้าพูด แบบนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พี่โยเลยรู้สึกว่ามันต้องแก้ไขแล้ว อย่างแรกคือปรับก่อน ฟังให้ออก แล้วมาพูดตามเสียงที่ฟัง พี่โยเคยใช้เวลาสามเดือนในช่วงปิดเทอมหมกตัวอยู่ในห้อง เช่าหนัง ดูซีรี่ส์ภาษาอังกฤษที่ง่ายๆ ใช้เวลาดูวันละ 3 ชั่วโมงต่อวันทุกวัน จนวันนึงมันก็มีจุดเปลี่ยนคือเราเริ่มฝันเป็นภาษาอังกฤษ ในฝันเราจะเห็นตัวเองพูดภาษาอังกฤษ แล้วเราจะได้ยินสำเนียงของตัวเอง แล้วหลังจากนั้นปุ๊บ ตื่นเช้าขึ้นมาอีกวันก็พูดได้เลย พอเราพูดได้แล้ว เราก็เลยหาวิธีที่จะพูดให้ได้มากที่สุด ยิ่งเราพูดออกไปมากเท่าไหร่ มันก็จะทำให้เราสามารถปรับตัวเองได้ 


 

มีทริปที่ประทับใจที่สุดในความทรงจำ


     คำตอบของพี่โยคือ ประเทศตุรกี เพราะตุรกีเป็นประเทศที่คนไปเที่ยวเองได้ไม่ง่ายนัก เราได้พาลูกค้าไปเจอประเทศใหม่ เราได้บอกในสิ่งที่พวกเขาไม่คิดว่ามันจะมี หลายคนยังมองประเทศตุรกีว่าเป็นประเทศที่มีความรุนแรง น่ากลัว แต่เวลาเราไปเที่ยว เราได้เล่าให้ลูกทัวร์ฟังว่าวัฒนธรรมของตุรกีเป็นยังไง ความเป็นอยู่เป็นยังไง ให้ลูกทัวร์ได้เข้าใจประเทศในมุมมองใหม่ แต่จริงๆ สิ่งที่ประทับใจกว่าคือ เวลาเรามองเห็นพวกเขาเที่ยวแล้วเขามีความสุข ก็รู้สึกว่านี่แหละคือเป้าหมายของอาชีพเรา


 

ลองออกเดินทางสักครั้ง เพื่อที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่


     สิ่งที่พี่โยอยากจะแนะนำคือ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่น้องๆ กำลังจะเติบโต อยากให้น้องออกไปเที่ยวคนเดียวสักหนึ่งครั้งในชีวิต เพื่อที่จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ถ้าถามว่าไปที่ไหน ก็ไปใกล้ๆ ไม่ต้องไกลมาก เลือกประเทศที่ผู้คนค่อนข้างเป็นมิตร ลาว ฮ่องกง ญี่ปุ่นก็ได้ แต่ถ้าใครที่อยากผจญภัยหน่อย พี่อยากจะแนะนำเวียดนาม อินโดนีเซีย ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศที่สวยงาม เราไปเพื่อให้เรารู้จักกับตัวเอง อยู่กับตัวเอง ฝึกตัวเอง  อย่างเด็กๆ ที่จบ ม.6 แล้ว พ่อแม่บางคนอนุญาตให้ไปเที่ยวเองได้ ให้เงินหนึ่งก้อน ให้เขาไปเดินทาง เพื่อเก็บประสบการณ์กลับมา พอเขาได้ไปเที่ยวเอง เขาจะรู้เองว่าเขาอยากจะทำอะไรในชีวิต เขาจะได้เลือกไปเรียนในสิ่งที่เขาอยากจะทำตรงนั้น พี่โยสนับสนุนให้น้องๆ ออกเดินทางหรือไปเที่ยวกับเพื่อนทีสนิทหนึ่งหรือสองคน ไม่ต้องเป็นกลุ่มใหญ่มาก แต่จำไว้ว่าบางทีเพื่อนที่ดีที่สุดของเราอาจจะไม่ใช่เพื่อนเที่ยวที่ดีที่สุดก็ได้ ต้องเป็นคนที่เที่ยวด้วยกันได้



 

นิยามของคำว่าความสุขในการทำงานของพี่โย

      พี่โยเล่าว่า เคยผ่านจุดเลวร้ายที่สุดในการทำงานมาแล้ว ตื่นเช้ามาต้องคิดว่าวันนี้จะลาด้วยเหตุผลอะไรดีหรือป่วยเป็นอะไรดี แล้วจะโทรไปบอกฝ่ายบุคคล กลับกัน พอมาทำงานที่ชอบ คืนวันอาทิตย์จะมานั่งจดเตรียมว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรดี บรีฟเรื่องอะไรดี ประชุมเรื่องอะไรดี เพราะฉะนั้น นิยามความสุขในการทำงานก็คือว่า เมื่อเราได้เห็นอะไรดีๆ เราอยากจะนำมันมาปรับใช้ในการทำงาน เพื่อแบ่งสิ่งที่ดีๆ ให้กับลูกค้า ตามคำนิยามที่บอกไป ว่าถ้าเราทำงานที่เราชอบ เราจะไม่รู้สึกเลยว่าต้องทำงานสักวัน



 

คำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่มีความฝันอยากทำงานด้านท่องเที่ยว


      ถ้าอยากทำงานด้านนี้ สิ่งแรกที่ต้องเตรียมเลยคือเรื่องภาษา ภาษาอังกฤษอย่างเดียวตอนนี้ไม่พอแล้ว ตอนพี่โยไปทำงานที่ต่างประเทศ เคยเจอไกด์ที่สามารถพูดได้สี่ 4-5 ภาษา ดังนั้นเราต้องสามารถที่จะสื่อสารได้ในภาษาอื่นๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเก่งเว่อร์ก็ได้ ที่ต้องพูดได้หลายภาษาก็เพราะว่า เมื่อเราไปถึงบางประเทศที่เค้าไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษ เราจำเป็นต้องใช้ภาษาอื่น ภาษาที่สามที่สี่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะฉะนั้นอย่างแรกเลย น้องๆ ต้องเตรียมเรื่องภาษา อย่างที่สองคือต้องหาความรู้รอบตัวให้มากถึงมากที่สุด ต้องอ่านหนังสือเกินวันละแปดบรรทัด(หัวเราะ) ดูข่าวสารรอบตัว ดูทีวี จะอ่านจากอะไรก็ได้ ประเทศนั้นประเทศนี้ ข่าวการก่อการร้าย ข่าวการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ข่าวเรื่องดารา ใครทำอะไร ทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องกันหมด เราต้องรู้ทันโลก


 

เดินตามความฝัน พบเจออุปสรรคมันก็เป็นเรื่องธรรมดา


      จริงๆ ในทุกอาชีพมันมีอุปสรรคหมด อยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับอุปสรรคนั้นยังไง สมมติว่าเราอยากจะเป็นหัวหน้าทัวร์ ปัญหาของเราคือไม่ได้ภาษา เราเคยเอาตัวเองเข้าไปแก้ปัญหาหรือยัง มัวแต่นั่งร้องห่มร้องไห้เสียใจว่าแก้ปัญหาไม่ได้เลย หมดกำลังใจเรียน มันก็ไม่ใช่ มันต้องดูที่ว่าเราได้แก้ไขปัญหา แล้วสู้กับมันจริงๆหรือเปล่า ถ้าเกิดสู้แล้ว พยายามแล้ว แล้วมันยังไม่ได้ ก็ต้องมาพิจารณาดูว่าเราไม่ได้เพราะอะไร แล้วขอความช่วยเหลือจากคนที่เก่งกว่า

      ในบางครอบครัว พ่อแม่ไม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กหาตัวตนของตัวเองเลย พ่อแม่ไม่เคยถามเลยว่า จริงๆ แล้วลูกอยากทำอะไร แล้วพอเด็กเริ่มคิดได้ว่าเขาอยากเป็นอะไร พ่อแม่บอกว่า “ไม่ดีหรอกอาชีพนี้ จะไปทำอะไรกิน เป็นอันนี้ดีกว่า” อย่างเราถามเด็กตอนนี้ว่า น้องอยากเป็นอะไร เด็กหลายคนยังไม่รู้เลย แต่ในขณะเดียวกันเด็กเมืองนอก อายุ 14-15 ต้องรู้แล้วว่าอยากทำอะไร สิ่งที่พี่โยอยากจะแนะนำน้องๆ คนที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ก็คงจะแนะนำว่า ‘ให้มีความกล้า’ กล้าที่จะถามตัวเองว่าอยากเป็นอะไร แล้วมันจะมีวันหนึ่งที่น้องจะมีโอกาสตัดสินใจ มันอาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่างพี่โยกว่าจะตัดสินใจได้ก็อายุ 26-27 แล้ว แต่มันจะมีวันนึงแน่นอนที่น้องจะได้นำสิ่งที่เรียนรู้มาโดยตลอดออกมาตัดสินใจ



 
      ได้ทั้งข้อมูล ความรู้ และคำแนะนำเกี่ยวกับอาชีพหัวหน้าทัวร์และไกด์เพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ ใครที่รู้ตัวเองแล้วว่าอยากจะทำงานด้านนี้ก็เก็บประสบการณ์การทำงานและฝึกฝนภาษาเอาไว้เยอะๆ นะ ส่วนน้องๆ คนไหนอยากติดตามพี่โย สามารถไปกดฟอลโลว์พี่เค้าได้ที่นี่เลย https://twitter.com/soyoso และต้องขอบคุณพี่โยมากๆ เลยค่ะที่มาบอกเล่าประสบการณ์สนุกๆ แฝงข้อคิดให้พวกเราได้อ่านกัน
พี่ดังกิ้น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

Parisme 18 ก.ค. 60 21:37 น. 1

เป็นข้อมูลที่ดีมากครับ ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์ที่ดีนะครับ ผมก็อยากเป็นไกด์อ่าครับ และงานที่เกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมครับ

1

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม

กำลังโหลด
กำลังโหลด