"โบ๊ต" เปิดเคล็ดลับเตรียมตัวให้ติดแพทย์ พร้อมเทคนิคพิชิต GAT 260+


          สวัสดีค่ะ หลายคนคงกำลังกังวลกับคะแนนวิชาสามัญที่ออกมา ใครทีมรับตรงก็คงจะต้องวางแผนกันให้ดี แต่ถ้าใครทีมแอดมิชชั่น ก็อย่าลืมว่ายังมีสนามสอบใหญ่อีกสองสนาม คือสนามสอบ GAT PAT รอบ 2 และ สนามสอบ O-NET ให้น้องๆ อ่านหนังสือเตรียมทำคะแนนกันให้ดีนะคะ
          น้องๆ คนไหนที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือเพื่ออนาคตที่ตั้งใจไว้ วันนี้พี่อีฟก็มีรุ่นพี่แอดมิชชั่นไอดอล ที่จะมาเผยเคล็ดลับและให้กำลังใจน้องๆ กัน ซึ่งรุ่นพี่ที่พี่อีฟพูดถึงในวันนี้ ก็คือ พี่โบ๊ต ธนพนธ์ มาน้อย รุ่นพี่จากคณะแพทยศาสตร์ ที่สอบเข้าด้วยโครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ น้องๆ คนไหนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ กับวิชาภาษาอังกฤษ ลองไปดูเคล็ดลับจากพี่โบ๊ตกันเลยค่ะ
 

 แนะนำตัวกับน้องๆ กันหน่อย
          สวัสดีครับ โบ๊ต นะครับ ธนพนธ์ มาน้อย จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ
จบชั้น ม.ปลาย จากโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวรครับ (สาธิต มน.) ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.94 ครับ

ชอบชีววิทยา คือจุดเริ่มต้นของการอยากเป็นหมอ ?
         จริงๆ เริ่มมาตั้งแต่ตอนเด็กเลยครับ สมัยประถม ตอนนั้นครอบครัวเราก็เคยโน้มน้าวเล่นๆ ว่า เรียนได้คะแนนดีก็ต้องเป็นหมอสิ อะไรแบบนี้ แต่ตัวเองในตอนนั้นอยากเป็นอะไรเยอะมากเลยครับ เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา เห็นพี่ติดโรงเรียนเตรียมทหารก็อยากเป็นทหารอากาศตามพี่ พอพี่มาติดเภสัชฯ ก็อยากเรียนเภสัชฯ ตามพี่อีก เราก็เลยยังไม่ได้มองคณะไหนจริงจัง เพราะมีหลายคณะในใจ แต่พอขึ้นชั้นมัธยมมา ก็มีเป้าหมายชัดเจนขึ้นครับ โดยเฉพาะตอน ม.ปลาย คือรู้สึกว่าตัวเองชอบชีววิทยามาก เลยได้ลองไปสอบเข้าค่าย สอวน. แล้วก็ติดครับ พอไปเข้าค่ายก็รู้สึกว่าชอบชีววิทยามากขึ้นกว่าเดิม เลยรู้สึกว่าเราน่าจะไปได้ดีถ้าได้เรียนหมอ เลยเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นในความตั้งใจอยากจะเข้าคณะแพทยศาสตร์ และครอบครัวก็สนับสนุนด้วยครับ 

 ค้นหาตัวเองแบบไหนบ้าง ถึงรู้ว่าคณะนี้คือตัวเรา
          ถ้าเป็นสำหรับตัวโบ๊ตเอง คือจะชัดมากเลยว่า เรารู้ตัวเองว่าเราชอบวิชาอะไร หรือไม่ชอบวิชาอะไร เช่น ถ้าชอบชีวะแต่ไม่ชอบฟิสิกส์เลย ก็ไม่ควรจะไปเลือกเรียนวิศวกรรมฯ เพราะอย่างน้อยที่สุด เราต้องเจอวิชาแนวฟิสิกส์อยู่แล้ว หรือถ้าชอบภาษาอังกฤษมากแต่เกลียดวิทย์ คณิตฯ ก็ชัดอยู่แล้วว่า ควรจะเลือกเรียนด้านภาษา เพื่อที่จะได้เต็มที่ด้านภาษา ไม่ต้องไปเจอวิชาที่เราไม่ชอบ อย่างวิทย์ หรือคำนวณ หรือถ้าใครรู้สึกว่าชอบทางด้านศิลปะ ก็ควรจะเลือกเรียนทางด้านศิลป์ ชัดเจนกับสิ่งที่เราชอบไปเลย  

 รู้เป้าหมายตัวเองแล้ว มีสอบรับตรงไหนไปบ้าง
           มีเป็นโควตาของโรงเรียนครับ ใช้ GPAX ยื่นครับ ถ้า GPAX สูงสุด 5 คนแรกจะได้คณะแพทยศาสตร์ แล้วก็มีไปสอบโควตา ม.ขอนแก่น (โครงการ MDX) ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ค่อยพร้อมนะครับ เพราะเป็นโครงการของคณะแพทยฯ โครงการแรกๆ ที่เปิดรับเลย แต่ก็ติดครับ ดีใจมากเลย และก็มีสอบโครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ ของ ม.เชียงใหม่ ซึ่งโบ๊ตเข้ามาด้วยโครงการนี้ครับ
 

 โครงการที่สอบเข้ามา คือโครงการอะไร ลองเล่าให้น้องๆ ฟังหน่อย
          อย่างที่บอกครับว่า โบ๊ตเข้ามาด้วยโครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ ของ ม.เชียงใหม่ จริงๆแล้วโครงการนี้มีอยู่ในหลายคณะ เช่น แพทยฯ สถาปัตยฯ แต่ผมจะขอเล่าเฉพาะแพทยฯ ที่ผมติดนะครับ โครงการเรียนดีของคณะแพทย์จะเปิดรับสมัครค่อนข้างเร็วครับ คือสมัครประมาณช่วงเดือนก.ย. - ต.ค. และสอบในช่วงเดือน พ.ย. โดยจะแบ่งย่อยเป็น 2 แบบ คือ เรียนดีโอลิมปิก คือรับสมัครเด็กที่ผ่านโครงการ สอวน.ค่าย 3 ขึ้นไป และโครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ ซึ่งต้องใช้คะแนนเช่น TOEFL, IELST ซึ่งต้องผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด ถึงจะสมัครได้ โบ๊ตเลือกสอบโครงการภาษาอังกฤษครับ ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้ ถ้าผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็ต้องไปทำข้อสอบข้อเขียนอีกทีครับ

 ข้อสอบโครงการนี้ เป็นไงบ้าง วิชาไหนยากสุด วิชาไหนง่ายสุด
          หลังจากที่เรายื่นคะแนนภาษาอังกฤษเข้ามา แล้วผ่านเกณฑ์ ก็จะต้องมาสอบข้อเขียนครับ ซึ่งข้อสอบจะเป็นข้อสอบอัตนัย เขียนแสดงวิธีทำหรือเขียนตอบหมดเลย มี 4 วิชาครับ คือ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ถ้าให้พูดถึงแต่ละวิชา
          - คณิตศาสตร์ ถือว่าปีโบ๊ตโชคดีครับที่ปีนั้น คณิตฯ ค่อนข้างง่ายกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่ผ่านมาข้อสอบยากมาก (คณิตศาสตร์ เป็นวิชาจุดอ่อนของโบ๊ตเลย)
          - ฟิสิกส์ จะเป็นแนวประยุกต์มากๆ ครับ เช่น เรื่องกระโดดร่ม หรือเรื่องความดันของไหล โจทย์ก็จะเอามาประยุกต์กับการให้น้ำเกลือคนไข้ ประมาณนี้ครับ ซึ่งเป็นอะไรที่ปวดหัวมาก 55555
          - เคมี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องปริมาณสารสัมพันธ์ สมดุลเคมี ซึ่งเป็นเคมีพาร์ทคำนวณเยอะมาก เลขไม่ค่อยลงตัวด้วยครับ เป็นแนวใช้ความอดทน แบบต้องคิดหลายชั้น แต่ไม่ได้ยากมาก เหมือนเอามาประยุกต์กันมากกว่า
         
ชีววิทยา ออกค่อนข้างลึกเหมือนกันครับ ถามละเอียดเลย ต้องอ่านเก็บให้ครบจริงๆ ไม่ยากนะครับ แต่ต้องแม่นมากๆ เลย

 ประสบการณ์การสอบสัมภาษณ์
          เป็นอะไรที่เซอร์ไพร์สมากๆ ครับ เพราะอาจารย์เพิ่งมาบอกตอนเช้าของวันสัมภาษณ์ว่าต้องสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนั้นเครียดเลยครับ เพราะพูดได้น้อยมาก ยังไม่คล่องด้วย กลัวจะทำได้ไม่ดี พอเข้าไปก็มึนมาก แต่อาจารย์ค่อนข้างใจดีครับ เราเลยลดความเกร็งลงบ้าง ก็พยายามพูดเท่าที่จะพูดได้ แล้วก็ผ่านมาได้ด้วยดีครับ

 เตรียมตัวก่อนการสอบโครงการนี้ยังไงบ้าง
          เริ่มจริงจังเลยคือโหลดข้อสอบเก่าย้อนหลังประมาณ 6 – 7 ปีมาทำครับ ซึ่งโบ๊ตโชคดีที่มีรุ่นพี่ที่โรงเรียนสะสมไว้ให้ เวลาว่างก็เอามานั่งทำกับเพื่อน ช่วยกันทำครับ ไม่มีเฉลยด้วย เพราะข้อสอบยาก และจริงๆ ช่วงนั้นเป็นการใช้ความรู้ที่ติดหัวอยู่เลย เพราะเป็นช่วงที่เพิ่งสอบโควตา ม.ขอนแก่นมาครับ

 ถ้าทำแบบนี้ ติดตั้งแต่รอบรับตรงแน่
          ตั้งใจเรียนตั้งแต่เนิ่นๆ ครับ แล้วก็พยายามรักษาเกรด เพราะรับตรงส่วนใหญ่จะใช้เกรดเป็นเกณฑ์ในการยื่นด้วยครับ อย่างสมัยที่โบ๊ตสอบโควตาแพทยฯ ม.ขอนแก่น ก็ต้องได้เกรด 3.50 ขึ้นไปถึงจะสมัครได้ โครงการเรียนดีก็ต้องได้ 3.75 ขึ้นไปถึงจะสมัครได้ พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือให้ดี เวลาไปเรียนพิเศษกลับมาก็ต้องทำการบ้านเอง ที่โรงเรียนไม่ควรทิ้ง เพราะมันก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น หลักง่ายๆ เลยก็คือ ถ้าอยากติดก่อน ก็ควรเริ่มอ่านก่อน เริ่มเตรียมตัวก่อนคนอื่น
 

 เคล็ดลับการอ่านหนังสือในแบบของโบ๊ต
         เคล็ดลับของโบ๊ต คือ อ่านแล้วเราต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ว่า วันนี้ตั้งใจจะอ่าน 2 บท แต่เป็น 2 บทที่แค่อ่านให้จบๆ ไป ดังนั้นคือ ห้ามหลอกตัวเองเด็ดขาด เวลาทำโจทย์ก็อย่าดูแต่เฉลยอย่างเดียว ห้ามหลอกตัวเองว่าเข้าใจและทำได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ลองทำโจทย์ เราห้ามประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงครับ อย่างน้อยที่สุดคือต้องประเมินให้น้อยกว่าความเป็นจริง เพื่อที่เราจะได้ไม่ประมาท แต่ก็ต้องไม่กดดันตัวเองเหมือนกันครับ
         ส่วนตัวโบ๊ตไม่มี Short note เลยครับ ตารางอ่านหนังสือก็ไม่มีแบบแผนแน่นอน ส่วนใหญ่จะเป็นการทำแบบฝึกหัด หรือโจทย์จากที่เรียนพิเศษมากกว่า หรืออย่างโบ๊ตไม่ค่อยเก่งฟิสิกส์หรือคณิตฯ ก็จะทุ่มเวลาให้มากกว่าวิชาที่ตัวเองถนัดอย่างชีววิทยา นึกถึงเรื่องไหนแล้วรู้สึกว่ายังไม่เข้าใจ ก็หยิบขึ้นมาอ่าน วิชาที่ต้องใช้ทักษะหรือต้องอาศัยการฝีกฝน อย่างภาษาอังฤษ คณิตฯ หรือฟิสิกส์ ก็ต้องทยอยทำโจทย์มาเรื่อยๆ ส่วนวิชาจำอย่างชีวะ หรือสังคมก็จะมาอ่านช่วงท้ายๆครับ

 สนามสอบ GAT PAT เป็นยังไงบ้าง
          ตอนนั้นโบ๊ตสอบ สอบ GAT PAT1 แล้วก็ PAT2 ที่ได้คะแนนดีหน่อย ก็จะเป็น GAT ครับ ได้ 265 คะแนน PAT2 ได้ประมาณ 170 คะแนน ส่วน PAT1 ได้น้อยครับ ขอไม่บอกนะ 55555
          การเตรียมตัวก่อนสอบของผมจะเน้นไปที่ GAT เป็นส่วนใหญ่
          - ส่วนของ GAT เชื่อมโยง อย่างแรกเลยคือ ต้องรู้วิธีทำครับ ซึ่งผมมองว่ามันหาง่ายมากนะ แต่ต้องเข้าใจจริงๆ อย่างที่สองคือหาข้อสอบเก่ามาทำเยอะๆ หรือถ้าไม่มั่นใจก็อาจจะหาคอร์สเล็กๆ ลงสักคอร์สก็ได้ครับ แต่ส่วนตัวคือโบ๊ตหาข้อสอบทำเอง
          - ถ้า GAT Eng คือต้องอาศัยบุญเก่าจากการทำข้อสอบพวก Error, Reading เยอะๆ พูดง่ายๆ คือ เราต้องฝึกฝนในการทำมาตลอดครับ ส่วนศัพท์ก็อยู่ที่เราใช้บ่อยแค่ไหน รู้เยอะแค่ไหน หรือท่องจำมาเยอะแค่ไหน เพราะตอนนั้นโบ๊ตก็ท่องไปเยอะเหมือนกันครั

 

 ชีวิตมัธยมเป็นยังไงบ้าง
          สำหรับโบ๊ตช่วงชีวิตมัธยมถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลยครับ รู้สึกว่ารอบตัวเรามีแต่คนดีๆ เพื่อนดีๆ อาจารย์ดีๆ ที่คุยได้ทุกเรื่อง โรงเรียนโบ๊ตค่อนข้างส่งเสริมให้ทำกิจกรรม เราเลยได้มีโอกาสทำกิจกรรมกันเยอะมาก และอีกอย่างสาธิตมน. เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนค่อนข้างน้อย อย่างสายชั้นโบ๊ตมีแค่ 129 คน แต่เป็น 129 คนที่รู้จักกันทุกคน ทำงานกันค่อนข้างง่าย เป็นชีวิตม.ปลายที่มีความสุขมากๆ ครับ
          ถ้าถามว่าช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย อยากกลับไปแก้ไขอะไร โบ๊ตก็คิดว่าไม่อยากกลับไปแก้ไขอะไรเลยครับ รู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตค่อนข้างคุ้ม เราไม่ได้เครียดมากเกินไป เราอ่านหนังสือ แต่เราก็เข้าร่วมกิจกรรม ไปกิน ไปเที่ยว ไปเล่น แบบปกติ แบบเพื่อนๆ ทุกคน มองย้อนกลับไปตอนนั้น ก็รู้วึกว่าชีวิตที่ผ่านมามีความสุขมากๆ และไม่ขอแก้ไขอะไรเลยครับ


 ชีวิตมหาวิทยาลัยกับคณะแพทยศาสตร์
          ชีวิตปี 1 สนุกสนานมากครับ เพราะได้อยู่ในมหาวิทยาลัยค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นวิชาเลือก เรียนคล้ายๆ กับคณะอื่น แต่พอขึ้นมา ปี 2 เปลี่ยนไปแบบพลิกมากเลยครับ หนักขึ้นมาก ต้องย้ายเข้ามาเรียนในคณะแพทยศาสตร์จริงๆ อย่างของ มช. จะเรียนเป็นระบบๆ ไปครับ เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบหัวใจและหลอดเลือดฯลฯ ซึ่งพอเรียนจบก็ต้องสอบทันที สอบทุกๆ เดือนเลยครับ อ่านหนังสือกันหนักมาก บางทีเพื่อนคณะอื่นก็ถามว่า อ้าวววว เพิ่งสอบเสร็จไปไม่ใช่เหรอ ทำไมยังต้องอ่านหนังสือกันอีก ก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งครับ เพราะเหมือนต้องอ่านหนังสือตลอดเวลาเลย หลายคนอาจจะมองว่าเรียนหนัก แต่พวกเราก็ยังมีเวลาไปดูหนัง ไปเที่ยว เหมือนคนอื่นๆ นะครับ แค่ต้องแบ่งเวลาให้ดีๆ

 เรื่องที่พีคที่สุดในชีวิต ม.6 ของเราคืออะไร
          ขอเล่าเรื่องที่ประทับใจแล้วกันนะครับ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่นั่งรถบัสกลับจากเรียน รด. ซึ่งเหนื่อยกันมาก แล้วมีเพื่อนคนนึงเปิดเฟซบุ๊คแล้วพบว่าโควตา มข. ประกาศผลแล้ว ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ใจเต้นแบบ ตุ๊บๆ ๆ ๆ ๆ ๆ . .. พอเปิดมาเห็นชื่อตัวเอง กับชื่อเพื่อนที่อยู่บนรถด้วยกันอีกหนึ่งคน คือดีใจมากๆ ครับ เพื่อนๆ เฮกันทั้งรถ เป็นบรรยากาศที่ดีมาก เป็นความดีใจแบบเถื่อนๆ ของเด็กผู้ชาย 55555

 ฝากอะไรถึงน้องๆ ม.6 กันหน่อยค่ะ
          อยากฝากให้น้องๆ ตั้งใจเรียนให้เป็นนิสัย เข้าใจว่าอาจจะมีเถลไถลไปบ้าง เพราะพี่ก็เคยเป็น แต่เราก็ต้องรู้ตัวเองว่าเรากำลังทำอะไร มีเป้าหมายอะไรอยู่ พยายามตั้งเป้าหมาย และเดินไปหามันให้ได้ แต่ถึงจะมีเป้าหมาย และความพยายามมากแค่ไหน ระหว่างทางก็ต้องไม่ลืมหันมองเพื่อนๆ และคนที่อยู่รอบข้างเราด้วย หรือเราอาจจะออกมาพักบ้าง ถ้าเรารู้สึกว่าตรงนั้นมันเหนื่อย
          น้องๆ ต้องสู้ๆ นะครับ พี่รู้ว่าทุกคนต้องมีช่วงเวลาที่ท้อแน่นอน แต่ว่าความสำเร็จที่ได้มันสวยงามจริงๆ เพราะนอกจากตัวเราเองที่มีความสุข คนรอบข้าง หรือคนที่อยู่เบื้องหลังเราอย่างคุณพ่อคุณแม่ พวกเขาก็มีความสุขไปกับเราเช่นกัน พี่เชื่อว่าน้องๆ สามารถลุกขึ้นมาสู้เพื่อรอยยิ้มเหล่านั้นของทุกคนที่น้องๆ รักได้แน่นอนครับ :)

 

          เป็นยังไงกันบ้างคะ กับเรื่องราวของพี่โบ๊ต น้องๆ คนไหนที่กำลังท้อกับการอ่านหนังสือ อย่าลืมว่าไม่ใช่น้องๆ แค่คนเดียวที่กำลังพยายาม คุณพ่อคุณแม่ก็คอยเอาใจช่วยอยู่นะคะ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วกับสนามสอบใหญ่ที่กำลังจะมาถึง อย่าลืมตั้งใจให้เต็มที่ จะได้ไม่เสียใจทีหลังนะคะ :)
 
พี่อีฟ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Bas_Rattapong 31 ม.ค. 60 18:10 น. 4
ผมรู้จักตั้งแต่เรียน รด.แล้วครับ คือวันที่เรียนรด.แดดก็ร้อน ช่วงพักแฮะๆ พี่แกเอาเคมีมานั่งเฉลยกับเพื่อนๆ ตกใจอ่านหนังสือ
0
กำลังโหลด
little boy 31 ม.ค. 60 17:45 น. 3
การเรียน การอ่านหนังสือก็เป็นแบบเดียวกับที่คนทั่วๆไป ที่สอบหมอหรือคณะต่างๆทำอยู่แล้ว คนเราอย่าคิดเเค่เพียงว่าชอบเรียนวิชานี้แล้ว เราจะทำอาชีพนั้นได้ดี จะเป็นหมอต้องชอบการใช้ชีวิตแบบหมอ ลองไปอยู่โรงบาล ลองเรียนรู้ สังเกต life style แบบนั้้นมันเหมาะกับเรารึป่าว เราจะทำแบบนั้นไปตลอดได้ไหม จริงๆแล้วเขาก็หัวดีมากยอมรับ แต่ต้นทุนชีวิตเขาดีเช่นกัน น้องๆอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร? พี่อ่านแล้วรู้สึกว่าเขาเก่งและเพียบพร้อมเกินกว่าที่เด็กอย่างน้องๆจะเป็นแบบนั้้ได้ทุกคน อ่านแล้วมองตัวเองดูด้อยลง ทำไมชีวิตเขาทำอะไรมันดูง่ายจัง สรุปก็คือ ตั้งใจเรียน มองภาพอนาคตให้ชัด อยากเป็นอะไรเป็น อยากทำอะไรทำ ไปให้สุดแค่นั้้น เป็นกำลังใจให้น้องทุกคน
0
กำลังโหลด

12 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
little boy 31 ม.ค. 60 17:45 น. 3
การเรียน การอ่านหนังสือก็เป็นแบบเดียวกับที่คนทั่วๆไป ที่สอบหมอหรือคณะต่างๆทำอยู่แล้ว คนเราอย่าคิดเเค่เพียงว่าชอบเรียนวิชานี้แล้ว เราจะทำอาชีพนั้นได้ดี จะเป็นหมอต้องชอบการใช้ชีวิตแบบหมอ ลองไปอยู่โรงบาล ลองเรียนรู้ สังเกต life style แบบนั้้นมันเหมาะกับเรารึป่าว เราจะทำแบบนั้นไปตลอดได้ไหม จริงๆแล้วเขาก็หัวดีมากยอมรับ แต่ต้นทุนชีวิตเขาดีเช่นกัน น้องๆอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร? พี่อ่านแล้วรู้สึกว่าเขาเก่งและเพียบพร้อมเกินกว่าที่เด็กอย่างน้องๆจะเป็นแบบนั้้ได้ทุกคน อ่านแล้วมองตัวเองดูด้อยลง ทำไมชีวิตเขาทำอะไรมันดูง่ายจัง สรุปก็คือ ตั้งใจเรียน มองภาพอนาคตให้ชัด อยากเป็นอะไรเป็น อยากทำอะไรทำ ไปให้สุดแค่นั้้น เป็นกำลังใจให้น้องทุกคน
0
กำลังโหลด
Bas_Rattapong 31 ม.ค. 60 18:10 น. 4
ผมรู้จักตั้งแต่เรียน รด.แล้วครับ คือวันที่เรียนรด.แดดก็ร้อน ช่วงพักแฮะๆ พี่แกเอาเคมีมานั่งเฉลยกับเพื่อนๆ ตกใจอ่านหนังสือ
0
กำลังโหลด
คุณน้อง 2 ก.พ. 60 13:39 น. 5
โควตา เรียนดี คณะแพทย์ ม.เชียงใหม่ ที่รับจากทั่วประเทศ คุณสมบัติที่สามารถสมัครได้ คือ 1. เกรดเฉลี่ยทุกปีต้องมากกว่า 3.75 ( OMG เยอะไปไหน ) 2. IELTS 6.5 ( OMGGGGGG คะแนนแบบนี้ โหดมาก ไปเรียนต่อ ป.โท เอก ต่างประเทศ อย่าง อังกฤษ หรือ ออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยทั่วๆไป ใช้ IELTS แค่ 6.0 ก็เรียนได้แล้ว หรือมหาลัยจะเป็นมหาลัยระดับ TOP ของโลก ก็เอาเยอะมาหน่อยที่ 7.0 แต่ สอบเข้าหมอ เอา IELTS 6.5 บร้าไปแล้ววววววว คะแนนแบบนี้ ) ปล. ติด MDX มข ก็ว่าโหดแล้วนะ แต่นี่ ติดแพทย์เรียนดี มช และทั้งเกรดเกือบสี่จุด ทั้งคะแนนภาษาอังกฤษระดับเทพ คาราวะคุณพี่
0
กำลังโหลด
noot_nootsaba Member 2 ก.พ. 60 20:53 น. 6

พี่เจ๋งมากเลยอ่ะ....หนูหวังว่าวันหนึ่งหนูจะได้เรียนที่เดียวกับพี่นะคะ เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะ

เยี่ยม

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Wangsichun 13 ต.ค. 62 01:04 น. 12

ตอนแรกไม่ค่อยอยากเรียนหมอเท่าไหร่เพราะคิดว่าตัวเองไม่ไหวแน่ๆแตาอ่านแล้วรู้สึกมีีกำลังใจมากขึ้น

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด