"The Last Supper" นิยายสืบสวนที่จะทำให้คุณ "คิดก่อนกิน!"



The Last Supper : ทฤษฎีลับ อาหารมื้อสุดท้าย
พล็อตสืบสวนแปลกใหม่ ว่าด้วยเรื่องอาหารการกิน


 
สวัสดี น้องๆ นักอ่านและนักเขียนชาวเด็กดีทุกคนนะคะ เนื่องจากขณะนี้ใกล้เข้าสู่งานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ 21 กันแล้ว จึงต้องขอถามก่อนว่า... น้องๆ มีนิยายในลิสต์ที่คิดว่าจะไปซื้อในงานหรือยังคะ ถ้ายังไม่มี พี่กุ๊กกิ๊กขอแนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ The Last Supper  ทฤษฎีลับ อาหารมื้อสุดท้าย เป็นนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนที่มีไอเดียน่าติดตาม ผลงานเรื่องนี้เป็นของ Staying (นามปากกาที่ใช้ในเว็บเด็กดี) แต่เรื่องนี้ใช้นามปากกาว่า Complicated ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ตะวันส่องค่ะ 

เบื้องต้น ก่อนจะเข้าเรื่องเข้าราวกันจริงๆ จังๆ ต้องขอทบทวนปัจจัย 4 ให้ฟังกันก่อนค่ะ มีอะไรบ้างนะ... อาหาร ที่พักอาศัย ยารักษาโรคและเครื่องนุ่งห่มใช่ไหมคะ ใช่แล้ว "อาหาร" เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ และ Staying นักเขียนคนเก่งของเราก็ได้หยิบยกประเด็นเรื่อง "อาหาร" มาเป็นพล็อตหลักในการดำเนินเรื่อง ซึ่งส่วนตัว พี่กุ๊กกิ๊กว่ามันได้ผลมากเลยนะ เพราะไม่ว่าจะยังไง คนเราก็ต้องกิน อาหารเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของเราไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเลือกหยิบประเด็นเรื่องนี้มาเขียน มันต้องส่งผลกระทบต่อใจคนอ่านอย่างแน่นอน พี่กุ๊กกิ๊กคนนึงแหละ อ่านแล้วอินจริงจังนะ 

           
ปกนิยายสุดหลอน ที่ใช้อาหารการกินมาดำเนินเรื่อง

เนื้อเรื่องโดยหลักแล้วจะเป็นการสืบหาตัวฆาตกรจากอาหารมื้อสุดท้ายของคนตายที่อาจจะบ่งบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็น "อุบัติเหตุ" หรือ "การฆาตกรรม" และนั่นจึงทำให้ The Last Supper กลายเป็นนิยายสืบสวนแนวใหม่ไปโดยปริยาย เพราะจะมีสักกี่คนที่เห็นถึงความสำคัญของอาหารแต่ละมื้อแล้วนำมาพลิกแพลงเป็นนิยายสืบสวนได้อย่างนี้

หากใครอ่านแล้วจะรู้ว่าเรื่องอาหารนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินเรื่องเลยทีเดียว พี่กุ๊กกิ๊กเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีอาหารที่ไม่ชอบ บางคนอาจไม่ชอบผัก บางคนอาจไม่ชอบเนื้อ เป็นต้น และสำหรับ ดาวินทร์ ชีวาสว่าง ตัวละครเอกจากในเรื่อง สิ่งที่เขาไม่ชอบเลยจริงๆ ก็คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สาเหตุมาจากความทรงจำวัยเด็ก เมื่อพ่อแท้ๆ ใส่สารหนูลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หวังจะฆ่ายกครัว แม่และดาวินทร์รอดมาได้ แต่ก็ต้องเข้าพบจิตแพทย์อยู่นาน กว่าจะกลับมารับประทานอาหารได้เป็นปกติ ทว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลายเป็นประเด็นฝังใจ เหมือนปมในใจ และทำให้เขาหลอนทุกครั้งที่เห็นมัน 

ก่อนจะข้ามไปวิเคราะห์นิยายอย่างจริงจัง พี่กุ๊กกิ๊กขอแอบพูดถึงชื่อเรื่องนิดนึงค่ะ "The Last Supper" เชื่อว่าอ่านปุ๊บ หลายคนคงสะดุด เพราะมันเป็นชื่อเดียวกับภาพวาดอันโด่งดังของศิลปินระดับโลก เลโอนาร์โด ดาวินชี ชื่อภาษาไทยของภาพนี้คือ "พระกายาหารมื้อสุดท้าย" ถ้าใครเคยรู้ประวัติมาบ้าง น่าจะจำได้ว่า ภาพนี้เป็นภาพอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกทรยศโดยอัครสาวกนั่นเอง (สารภาพว่าพี่กุ๊กกิ๊กรู้เรื่องนี้มาจากการอ่าน "รหัสลับดาวินชี" ค่ะ) 

จะเห็นได้ว่า ความเหมือนของภาพ The Last Supper และนิยายสืบสวน The Last Supper (อย่าเพิ่งงงค่ะ) ก็คือเรื่องเมนูอาหารค่ะ ในขณะที่ภาพพูดถึงอาหารมื้อสุดท้าย นิยายก็พูดเรื่องอาหารมื้อสุดท้ายเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้เขียนเองก็บอกว่าได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนจากภาพวาดนี้ และเขาเองตั้งชื่อตัวละครว่า "ดาวินทร์ ชีวาสว่าง" (ถ้าอ่านแบบเว้นวรรคสลับ จะกลายเป็น ดาวินทร์ชี วาสว่าง ก็คือพ้องกับชื่อดาวินชีนั่นเอง) และในเรื่อง พระเอกก็โดนเพื่อนในห้องตั้งฉายาว่า "ดาวินชี่" ด้วย 

จากเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเบื้องต้น พี่กุ๊กกิ๊กอยากแอบกระซิบถึงนักเขียนหน้าใหม่ไว้หน่อยนะคะ นักเขียนนั้นเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความช่างสังเกต สนใจและใส่ใจทุกสิ่งรอบด้าน ตัว Staying หรือ Complicated เอง ได้แรงบันดาลใจในการเขียนนิยายมาจากภาพเขียนระดับโลก ผสมผสานด้วยจินตนาการส่วนตัว และในที่สุดก็เขียนออกมาเป็นนิยายเรื่องยาวได้ในที่สุด เรียกว่าแรงบันดาลใจหาได้ทุกที่จริงๆ ขอเพียงแค่เราใส่ใจเท่านั้นค่ะ 

เอาล่ะ ก่อนอื่น เรามาฟังประวัติคร่าวๆ ของภาพ The Last Supper ก่อนที่จะไปฟังพี่วิเคราะห์นิยายเรื่องนี้นะคะ 
  
***พระกระยาหารมื้อสุดท้าย คือจิตรกรรมฝาผนัง ที่วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชีค่ะ มีที่มาจากพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซู โดยในภาพจะแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสาวกแต่ละคน ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดช่วงหนึ่ง คือเมื่อพระเยซูได้ทำนายว่า หนึ่งในผู้ร่วมโต๊ะอาหารมื้อนั้นจะทรยศพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะทรงถูกนำไปตรึงกางเขนซึ่งเป็นข้อมูลที่มาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล และภาพวาดนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เนื่องจากถูกวาดด้วยปูนเปียกบนผนัง อีกทั้งภาพวาดนี้ยังถือว่าเป็นภาพวาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเลโอนาร์โด ดาวินชี ที่ยังคงสภาพให้มองเห็นได้ในปัจจุบัน และยังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบรรดาจิตรกรรมที่รู้จักกันอยู่ทั่วโลก  ***
 

 เครดิตภาพ : en.wikipedia.org
 
 ไม่ใช่แค่นิยายของนักเขียนไทยเท่านั้น ภาพวาดดังกล่าวยังเป็นประเด็นสำคัญในการดำเนินเรื่องราวของนวนิยายชื่อดังระดับโลก รหัสลับดาวินชี  เขียนโดย แดน บราวน์  วางจำหน่ายเมื่อ พ.ศ. 2546 และมีการแปลเป็นภาษาไทยโดย อรดี สุวรรณโกมล จากแพรวสำนักพิมพ์ รวมถึงมีการสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วในปี 2549 เมื่อนำเข้าไทยก็มีชื่อภาษาไทยว่า รหัสลับระทึกโลก 

เนื้อหาคร่าวๆ จากในหนังสือก็คือการกล่าวอ้างว่าองค์พระเยซูได้ทรงสมรสและมีทายาทสืบสายพระโลหิต โดยผู้ที่ทรงสมรสด้วยก็คือสาวกใกล้ชิดนามว่า แมรี แม็กดาลีน  (สังเกตจากในภาพ ด้านขวามือของพระเยซู บุคคลนั้นมีลักษณะคล้ายผู้หญิง) จากนั้นเชื้อพระวงศ์แห่งพระเยซูก็ได้สืบทอดต่อกันมายาวนานกว่าสองพันปี ซึ่งนั่นเป็นประเด็นที่ถูกเถียงกันมาเรื่อยๆ เพราะหากในภาพนั้นเป็นสตรีและเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพระเยซูจริง นั่นย่อมหมายถึงว่าองค์พระเยซูเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มิใช่เทพหรือพระบุตรของพระเจ้าแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้เนื้อหาดังกล่าวได้รับการคัดค้านจากศาสนาจักรคาทอลิกอย่างรุนแรง

เห็นมั้ยคะน้องๆ เพียงแค่ภาพเดียวเท่านั้นก็ทำให้เกิดเรื่องราวสืบต่อไปได้หลายทาง อันนี้พี่กุ๊กกิ๊กคิดว่าแล้วแต่จินตนาการของนักเขียนแต่ละคน จะสร้างสรรค์ออกมาให้เนื้อหาของตนน่าสนใจและแตกต่างจากนิยายเรื่องอื่นๆ ในตลาด น้องคนไหนอยากเป็นนักเขียน เก็บตรงนี้ไว้นิดนึงนะคะ จะได้ลองไปปรับใช้กับผลงานของเราดู 

ต่อไป มาวิเคราะห์นิยายเรื่องนี้กันค่ะ 

สิ่งที่น่าสนใจใน The Last Supper ทฤษฎีลับ อาหารมื้อสุดท้าย

ความแปลกใหม่ของพล็อต นิยายสืบสวนสอบสวนนั้นมีให้เลือกมากมาย แต่สิ่งที่ The Last Supper มีไม่เหมือนใครก็คือ ความแปลกในการสืบหาตัวฆาตกรจากอาหารมื้อสุดท้ายที่ผู้ตายรับประทานเข้าไป ซึ่งนับว่าแปลกและดำเนินเรื่องได้ค่อนข้างยาก เพราะหลายคนอาจจะเดาไม่ออกว่าอาหารมื้อสุดท้ายนั้น จะทำให้เรารู้ตัวฆาตกรได้ยังไง (ตอนแรกพี่กุ๊กกิ๊กก็คิดแบบนั้นแหละค่ะ) แต่หลังจากที่ได้อ่านแล้วก็ได้ทราบว่ามันมีที่มาที่ไป ก่อนที่เราจะสืบจากอาหารมื้อนั้นได้ เราต้องรู้จักนิสัยของผู้ตายพอสมควรก่อน จึงจะตัดสินได้ว่าอาหารมื้อสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร มีความแปลกหรือแตกต่างไปหรือไม่ เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อชอบอะไรก็จะกินอยู่ซ้ำๆ (อันนี้พี่ก็เป็น) และไม่ชอบอะไรก็จะหลีกเลี่ยง และประเด็นนี้นี่แหละ ที่จะโยงกลับมายังตัวของดาวินทร์เองในตอนท้าย เรียกว่ามีเรื่องของ "เส้นผมบังภูเขา" เข้ามาเกี่ยว แต่จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเองค่ะ ไม่สปอยล์เนอะ
 
ตัวละคร ตัวละครหลักๆ ในเรื่องมีอยู่สองคน ก็คือ พระเอก (ดาวินทร์) นางเอก (ภรรคพรรณ) แต่จริงๆแล้วก็มีคนอื่นเข้ามาสอดแทรกอยู่แบบเด่นๆ เรื่อยๆ นะคะ เพียงแค่ต่างช่วงเวลากัน เช่น แม่ดาวินทร์ แม่ภรรคพรรณ แฟนเก่าดาวินทร์ ทั้งดาวินทร์และภรรคพรรณเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยจะรักกันมากเท่าไหร่ แอบจะกัดกันตลอดเวลาด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้น จึงทำให้ทั้งคู่ต้องสงบศึกกันชั่วคราวเพื่อมาสืบหาตัวฆาตกร โดยใช้หลักทฤษฎีอาหารมื้อสุดท้าย เขียนโดยนักเขียนที่เคยรุ่ง ซึ่งก็คือพ่อแท้ๆ ของดาวินทร์ ทั้งที่โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อทฤษฎีดังกล่าวนัก เพราะอคติที่เขามีต่อพ่อหลังจากโดนพ่อใส่สารหนูในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้กิน แต่เขากลับเดินตามทฤษฎีนั้นเพราะอยากพิสูจน์ว่ามันจริงหรือไม่จริง แล้วถ้าหากว่าจริง ทำไมทฤษฎีนี้จึงถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อได้ตีพิมพ์ออกไป ซึ่งสิ่งที่มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องก็คือ ตัวละครทั้งสองที่คอยลอบสืบคดีอย่างกับโคนันนี้เป็นเพียงเด็ก ม.ปลาย เท่านั้น ขณะที่อ่านก็รู้สึกเชื่อได้จริงๆ ว่านี่คือความคิดของคนอายุเท่านั้น ไม่ดูยัดเยียดจนเกินไป และตัวละครไม่ได้เก่งเวอร์อลังการขนาดนั้น แค่เป็นคนที่ช่างสังเกต ซึ่งมันมีความพอดีและเป็นไปได้มากกว่าที่จะยัดความฉลาดจนเกินควรลงไปในร่างของเด็กมัธยมปลาย
 
ปมปัญหาของตัวละคร  แน่นอนว่าส่วนนี้มักจะเป็นสิ่งที่ทำให้นักอ่านสนใจ ไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวไหนก็ตาม หากเรื่องไหนไม่มีปมดังกล่าว เปอร์เซ็นต์ความน่าสนใจจะลดลงทันทีเลย แต่ในเรื่องนี้นั้น มีปมขัดแย้งทั้งกับตัวเองและคนอื่น เช่น การขัดแย้งของดาวินทร์ ก็คืออคติที่มีต่อพ่อ ทำให้เขาไม่เชื่อทฤษฎีอาหารมื้อสุดท้าย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเดินตามหลักทฤษฎีนี้ไปซะทุกที คล้ายว่าในส่วนลึกของจิตใจเขาก็อยากจะสานต่อความคิดของพ่อและอยากรู้ว่าพ่อของตนฆ่าตัวตายเพราะอะไรกันแน่ ซึ่งความจริงนั้นเราจะได้ทราบในช่วงท้ายๆ ของเรื่อง ส่วนการขัดแย้งกับบุคคลอื่นคือความเห็นที่อาจไม่ตรงกันในบางครั้งกับภรรคพรรณหรือมารดาของเขาในช่วงที่ความจริงใกล้เปิดเผย
 
 การดำเนินเรื่อง  ส่วนนี้มีความน่าสนใจมาก ด้วยความที่เป็นพล็อตนิยายแนวสืบสวนสอบสวน การดำเนินเรื่องจึงเป็นไปในลักษณะหลอกให้คนอ่านหลงเข้าใจผิดไปตามตัวละครว่าใครกันแน่ที่เป็นฆาตกรตัวจริง โดยใช้มุมมองบุรุษที่หนึ่ง ซึ่งก็คือตัวของดาวินทร์เพียงคนเดียว ถือว่าเหมาะกับนิยายแนวนี้มาก เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดและผูกพันกับตัวละคร ขณะที่อ่าน เราจะรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสมองของเขา ว่าเขากำลังคิดแบบนี้ คิดว่าเหตุการณ์มันเป็นไปแบบนี้โดยที่ใครคือฆาตกร เมื่อดาวินทร์เข้าใจผิด เราก็จะเข้าใจผิดตามไปด้วย และในเวลาที่เขาเครียดจนหาทางแก้ไม่ได้ เราก็จะเครียดตามไปอีก ซึ่งมันทำให้เรื่องสมจริงมากยิ่งขึ้น และนอกเหนือจากความลุ้นจนตัวโก่งไปกับเนื้อเรื่อง ก็ยังมีฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักระหว่างดาวินทร์กับภรรคพรรณ(ที่มักจะถูกดาวินทร์เรียกว่า "ยัยสลัดผัก") เข้ามาเสริมเพื่อลดความเครียดในเนื้อหาลงไปได้บ้าง

ส่วนตัวแล้ว พี่กุ๊กกิ๊กถือว่าเรื่องนี้เป็นนิยายที่ครบรสเพราะมีทั้งรัก ดราม่า ฆาตกรรมและสืบสวนสอบสวน และจะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของคนในครอบครัวมากขึ้นด้วย จึงเป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำค่ะ ซื้อเถอะ รับรองว่าคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไปแน่นอนค่ะ แถมยังจะวางไม่ลงซะอีก

หากใครยังไม่เคยอ่าน สามารถทดลองอ่านหน้าบทความ
โดยการคลิกที่ชื่อเรื่องด้านล่างเลยนะคะ

The Last Supper :
 ทฤษฎีลับ อาหารมื้อสุดท้าย

สำหรับใครที่เคยอ่านแล้วและต้องการไปซื้อที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติก็สามารถไปซื้อได้ที่บูธสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (E06 โซนแพลนนารี่ฮอลล์) ได้เลยนะคะ  



พี่กุ๊กกิ๊ก ^__^

พี่กุ๊กกิ๊ก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

3 ความคิดเห็น

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
เเวะมาอ่าน 11 ต.ค. 59 14:44 น. 3
The last supper หรืออาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับบรรดาอัครสาวก 12 คนก่อนที่พระองค์จะถูกทรยศและพระองค์ก็ไม่ได้"ถูกวางยาพิษ"นะคะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด